วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แบบไหนน่าภูมิใจกว่ากัน

       จบไปเรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการแข่งขัน ฟุตบอลลีกต่างๆในยุโรป รวมถึงฟุตบอลถ้วยในประเทศ และ ถ้วยยุโรปถ้วยเล็ก คงเหลือ แต่ ถ้วย หูใหญ่ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ใบเดียวที่ยังไม่จบ ก็ขออนุญาต
:
สรุปให้ดังนี้นะครับ
:
ฟุตบอลลีก
พรีเมียร์ลีก      อังกฤษ       แชมป์           เชลซี
ลาลีกา            สเปน              "           รีล มาดริด
บุนเดส ลีกา    เยอรมัน          "           บาเยิร์น มิวนิค
กัลโซ่ ซีรี่ อา   อิตาลี             "              ยูเวนตุส
ลีกเอิง             ฝรั่งเศา          "             โมนาโก
:
ฟุตบอลถ้วย
FA Cup                     อังกฤษ          แชมป์       อาร์เซนอล
โก ปา เดอร์ เร           สเปน             แชมป์       บาร์เซโลน่า
เด เอฟ เบ โพคาล    เยอรมัน                แชมป์       ดอร์ทมุน
โคปปา อิตาเลีย        อิตาลี                 แชมป์       ยูเวนตุส
เฟร์น ลีก คัพ           ฝรั่งเศส               แชมป์        PSG ปารีสแซ็ง-แฌร์แม็ง
:
ยูโรป้า  ลีก        แชมป์   แมนเชสเตอร์  ยูไนเต็ด
:
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ( ยังไม่ได้แข่งขัน )
:

ดูจากรายชื่อทีมแชมป์ ที่ประสบความสำเร็จ ในฤดูกาล 2015-2016 นี้ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายอะไรนัก
แต่ละทีม ล้วนเป็นทีม ที่พวกเราคงเคยเห็นจนชินตา ทีมเหล่านี้เป็นทีมที่มีศักยภาพ และงบประมาณมหาศาลในการทำทีมอยู่แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะคว้าแชมป์ แต่ประเด็นที่เราจะมาพูดถึงกันในบทความนี้ ผมจะเน้นไปในเรื่องของนโยบายการทำทีม ของ แต่ละทีม ซึ่งมีรูปแบบในการทำทีมที่แตกต่างกัน ความสำเร็จที่หอมหวน คือสิ่งที่ทุกทีมปราถนา แต่เส้นทางไปสู่เส้นชัยนั้น มันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่ละทีมจึงหาวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ

แนวทางที่ 1 สร้างทีมจากเงิน
:
ทีมที่รวยกว่า ย่อมได้เปรียบทีมคู่แข่ง นโยบายการสร้างทีม จึงเน้นไปที่ความสำเร็จแบบรวดเร็ว ทันตาเห็น เหมือน เสกได้  ใช้เงิน เพื่อแลก กับ เวลา ด้วยการนำเข้านักเตะระดับท๊อปของวงการให้มาอยู่ในทีมมากที่สุด เพื่อยกระดับทีมให้ประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด ทีมแบบนี้ ก็ได้แก่ รีล มาดริด ,บาร์เยิร์น        มิวนิค ,เชลซี และ PSG  ที่ไม่ได้แชมป์ ก็มี  เช่น แมน ซิตี้ ,แมนยู (สมัยนี้นะ) การใช้เงินแบบจำนวนมหาศาลแบบฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็นของทีมเหล่านี้ ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในตลาดนักเตะ ของวงการฟุตบอล ในปัจจุบัน ซื่งเราจะเห็นว่า นักเตะเดี๋ยวมีมีราคาที่แพงมากๆ
:
นโยบาย การใช้เงิน ซื้อ ความสำเร็จ แบบนี้ ผมมองว่า มันเป็นความสำเร็จที่ไม่ยั่งยืน เพราะความสำเร็จเกิดจากเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปในตลาด การเล่นในสงครามแห่งราคานั้น ไม่ได้ง่ายเลย เพราะมันจะต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะถอยออกมาได้ วันใดที่คุณถอย คือ วันที่คุณแพ้ การแข่งขันในทะเลแดง ตามความหมาย ของนักการตลาด นั้น เป็นสิ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะการเล่นอยู่ในสงครามราคา มันคือการ รอวันตาย และจะไม่มีใครชนะ
:
แนวทางที่ 2 สร้างทีมระบบบริหารจัดการ
:
ทีมในกลุ่มนี้จะเน้นสร้างทีมจากการพัฒนาในระบบเยาวชน ของสโมสร เป็นหลัก ซื้อตัวนักเตะมาเสริมทีมบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย ตัวอย่างทีมที่ประสบความสำเร็จจากนโยบายแบบนี้ ก็มี บาร์เซโลน่า ,อาร์เซน่อล และ ดอร์ทมุน เราจะเห็นทีมเหล่านี้ มีนักเตะเยาวชนหน้าใหม่ๆ มาเล่นในทีมอยู่เรื่อยๆ ความสำเร็จของทีมกลุ่มนี้ จะเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน และ น่าภาคภูมิใจ กว่าทีมในกลุ่มแรก  เพราะสร้างทีมจากระบบการบริหารจัดการ ไม่ต้องเหนื่อยไปต่อสู้ในสงครามราคากับใคร มันอาจจะใช้เวลาในการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์บ้าง แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอย การประสบความสำเร็จในรูปแบบนี้ จะมีความต่อเนื่องและยาวนาน เหมือนอย่าง ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ ท่านเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ทำทีมแรกๆ การปุกปั้น นักเตะ อย่าง เดวิด แบ็คแคม, พอล สโกว์ และ ไรอัน กิ๊ก  และ ซื้อตัว มาเสริมในจุดที่ขาดหาย อย่าง รอย คีน ,เอริด คันโตน่า ,ปีเตอร์  ชไมเคิล มาเสริม ทำให้ ทีม ปีศาจแดง ครองความยิ่งใหญ่ ได้อย่างยาวนาน การสร้างทีมด้วยเวลา ทำให้นักเตะ เกิดความผูกพันธ์ ความเข้าใจซื่งกันและกัน จึงส่งผลทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ในแบบที่ต้องการ

ทั้ง 2 แนวทางนี้ มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ความสำเร็จ แต่ใน ความสำเร็จ นั้น ย่อมมีเรื่องราว และ ที่มา เสมอ อยู่ที่ว่า เราจะใช้อะไรเป็นตัววัดค่า ของมัน  หาก "ความภาคภูมิใจ" คือ สิ่งที่เราต้องการ มันก็คุ้มค่าที่จะรอคอย จริงมั้ยครับ

#Pairoj13
#ขอบคุณที่ติดตาม  








วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ความสวยงาม กับ ความสำเร็จ

           ก่อนอื่น ก็ต้องขอแสดงความยินดี กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วนนะครับ ที่สามารถคว้าแชมป์ ยูโรป้าลีก และ ตีตั๋วเข้าไปเล่น ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ได้สำเร็จ ถือเป็นทีม แรกของประวัติศาสตร์ ที่จบอันดับ 5 ในลีก แล้วได้ไป ยูฟาแชมป์เปี้ยน ลีก ก็ถือว่า เป็นแชมป์ที่ 3 ขอ มูรินโญ่ตั้งแต่ที่เริ่มคุมทีมมา  ถ้านับคอมมุนนิตี้ ชิลล์ ด้วย นะ555



           หลังจากที่ มูรินโญ่ พาแมนยู คว้าแชมป์ ได้สำเร็จ สิ่งที่ตามมาคือ เสียงวิภาควิจารณ์ เรื่องสไตล์การเล่น ของ แมน ยู ทั้งที่มาจาก ตัวผู้เล่น ฝั่งตรงข้าม และ จาก กูรู ลูกหนัง ต่างๆ  ก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเล่นของ แมนยู นั้น น่าเบื่อ เน้นเกมรับ และ โต้กลับ มากจนเกินไป ซึ่งมันผิดกับ                                   คาร์แรกเตอร์ ของ การเป็น ทีม ปีศาจแดง โดยสิ้นเชิง แต่ มูรินโญ่ เอง ก็ออกมา สวนกลับทันควันว่า การเล่นสวย แต่ไม่มีแชมป์ไปก็เท่านั้น ฟุตบอลมันคือ ชัยชนะ และ ความสำเร็จ ไม่ใช่หรือ ถ้าจะพูดไปแล้วสิ่งที่เขาพูดออกมามันก็ถูกของเขาจริงๆ

           การที่ทีมเล่น ได้สวยงาม แต่ ปราศจาก ความสำเร็จ มันไม่มีอะไรที่จับต้องได้ เพราะทีมฟุตบอล ทุกทีมต้องการความสำเร็จกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเล็ก หรือ ใหญ่ เพราะความสำเร็จ มันหมายถึง เกีรยติยศ  ชื่อเสียง และ เงินทอง สโมสรจะอยู่ได้ ก็ด้วยปัจจัยเหล่านี้

           สไตล์ของ น้ามู นั้นใครๆ ก็รู้ว่า แก เน้น เรื่องผลการแข่งขัน เป็นหลัก โดยไม่สนว่า จะต้องใช้วิธีการใดๆก็ตาม แกเอาหมด โดยมาตราฐาน และ บรรทัดฐาน ของแก เรื่องความสวยงาม จึงไม่ต้องพูดถึง ขอให้ทีมมีผลแข่งขันที่ต้องการเป็นพอ

           สิ่งที่ น้ามู ทำอยู่ ในความคิดผม คิดว่า มันเป็นสิ่งที่ กำลังขัดต่อ ธรรมชาติ ของฟุตบอล อย่างแท้จริง ซึ่งผมว่า ก็คงจะมี แฟนบอล ของ ปีศาจแดง บางส่วนที่เห็นด้วยกับผม ธรรมชาติ ของฟุตบอล    ก็คือ เกมกีฬา ที่มุ่งเน้น ความบันเทิง สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ กีฬา ฟุตบอล จึงเป็นกีฬาที่ได้รับ ความนิยมไปทั่วโลก แต่ถ้าวันใด ฟุตบอล ที่เราๆดูกันอยู่มันน่าเบื่อ ก็คงไม่มีใครอยากดู เพราะ ฟุตบอล ใช้เวลาในการแข่งขัน นานพอสมควร การมานั่งดูอะไรเป็นชั่วโมงๆ ต้องเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบมันจริงๆ ถึงจะทำได้

           ความสำเร็จ กับ สไตล์สวยงาม ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน แต่ก็ใช้ว่า มันจะไม่มีเลยในโลก ของฟุตบอล ทีมที่มีทั้งสไตล์สวยงาม และ ความสำเร็จด้วย ที่พวกเราคงจะรู้จักกันดี ก็คือ ทีม                                    บาร์เซโลน่า และ  ทีม บาร์เยิร์น มิวนิค ตอนที่ เป็ป กวาดิโอล่า ทำทีม ทั้งสองทีมนี้ ถือเป็นแบบอย่าง ของ ฟุตบอลในยุคใหม่  หลายคนอาจจะคิดในใจว่า ก็ทั้ง 2 ทีม มีนักเตะระดับโลกอยู่เยอะ ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าหากเราจะเทียบทีมเหล่านี้ กับ แมน ยู เชลซี หรือ ยูเวนตุส ผมคิดว่า ศักยภาพของทีมไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่มันอยู่ที่ว่า สไตล์ หรือ DNA ของทีมเป็นแบบไหนมากกว่า ผู้จัดการทีม คือ คนที่จะกำหนดทิศทาง บุคลิก ของทีม ว่าจะให้ทีมเป็นแบบไหน ความสวยงาม หรือ ความสำเร็จ
แต่ถ้า สามารถ นำทั้ง 2 อย่างมารวมกันได้ นั้นคือ สุดยอดปราถนา ของแฟนบอลทุกคน จริงมั้ยครับ

จะ ความสวยงาม หรือ ความสำเร็จ ยังไงซะ ผมก็ยังอยาก ให้รักษา ความเป็นกีฬา เอาไว้ เพราะ กีฬา มันคือ สิ่งที่ช่่วยให้เรา มีจิตใจที่ดีขึ้น มันช่วยสร้างมิตรภาพ สร้างน้ำใจ ซึ่งกันและกัน (Spirit) หากวันใด ที่กีฬา กลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ มากจนเกินไป ความสวยงามที่มี ของมัน ก็คง จะหมดไปเช่นกัน

#Pairoj13
#ขอบคุณที่ติดตาม



วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สงครามราคา

       ใกล้จบฤดูกาลเต็มทีนะครับ สำหรับการแข่งขันฟุตบอลลีกต่างๆในยุโรป หลายลีกก็ได้แชมป์กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างเช่น พรีเมียร์ลีก และ บุนเดสลีกา แต่ก็ยังมีบางลีกที่ต้องลุ้นแชมป์กันจนนัดสุดท้าย รวมไปถึงการลุ้นโควตาไปเล่นฟุตบอลยุโรป รายการ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ซึ่งถือเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลสำหรับทุกทีมที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน การทำอันดับดีๆในตารางคะแนะจึงมีความสำคัญมาก สำหรับทีมฟุตบอล เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องความสำเร็จอย่างเดียว แต่มันคือความอยู่รอดของสโมสร เรื่องเงินเป็นปัจจัยหลักของทีมฟุตบอล เราคงจะได้เห็นหลายทีมที่เคยยิ่งใหญ่แต่ปัจจุบันกลับตกต่ำลงไปเล่นในลีกระดับล่างๆของประเทศ อย่างเช่น ลีด ยูไนเต็ด หรือ แบล็คเบริน์ โรเวอร์ เมื่อทีมตกชั้น สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือ นักเตะดีๆ ของทีมจะทยอยเดินออกจากสโมสรไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าต้องการให้ทีมยังคงอยู่ต่อไป

การซื้อขายนักเตะ เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารทีมฟุตบอล ถ้าอยากให้ทีม ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และมีแฟนบอลมากๆ ในทีมจึงจำเป็นจะต้องมีนักเตะที่ดี มีความสามารถ เก่งกาจ จึงจะพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้ ปัจจุบันในวงการฟุตบอลมีการแข่งขันที่สูงมาก เนื่องจากมีกลุ่มทุนจากหลายประเทศที่สนใจ ทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอล โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก ตะวันออกกลาง อาหรับ ซึ่งเป็นกุลุ่มทุนที่มี
งบประมาณมหาศาล เข้ามาเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลชั้นนำในยุโรป  ซึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้สามารถบรรดาลความสำเร็จให้กับทีมที่ตัวเองเป็นเจ้าของได้อยางรวดเร็ว จากแนวทางการสร้างทีมที่ต้องการความสำเร็จแบบนี้  การสร้างทีมจากระบบเยาวชน เหมือนสมัยก่อนจึงไม่ทันการ สิ่งที่พวกเขาทำอันดับแรกในการเข้ามาบริหารทีม คือ การจ้าง ผจก.ทีมที่มีดีกรีระดับแชมป์เข้ามาคุมทีม และ ค้นหานักเตะระดับซุปเปอร์ สตาร์ แถวหน้าของวงการเข้ามาสู่ทีม เพื่อยกระดับทีมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


การทุ่มเงินในการซื้อนักเตะ เกรดA เหล่านี้ส่งผลทำให้ตลาดนักเตะ เกิดภาวะเงินเฟ้อ แบบเฉียบพลัน เราจะสังเกตุเห็นว่านักเตะในปัจจุบัน มีราคาสูงเกินกว่าความเป็นจริง ยกตัวอย่าง ค่าตัวของ พอล  ป็อกบา (อันนี้ไม่ได้วิจารณ์ตัวนักเตะนะครับ) ของ แมนยู สูงถึง เกือบ 100 ล้านปอนด์ ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็เกือบ 4,500 ล้านบาท มูลค่าขนาดนี้มันเท่ากับ บริษัทที่ทำธุรกิจขนาดใหญ่เลยนะครับ หากจะพูดกันในเรื่องของความสามารถแล้ว ผมว่า ป็อกบา ไม่ได้เก่งกาจ จนเป็นระดับเทพ ที่ราคาสูงขนาดนั้น จุดเด่นของ ป็อกบา ที่ดูจะเตะตาผมเป็นพิเศษ ก็คงจะเป็นเรื่องของ แฟชั่น ทั้งใน และ นอก สนาม ที่ดูจะโดดเด่นเหลือเกิน ทั้ง ทรงผม และ การแต่งตัว ทีม แมนยู คงจะเล็งเห็นจุดนี้เป็นเรื่องสำคัญ 555 (ล้อเล่นนะครับ) นักเตะที่จะมีค่าตัวขนาดนี้ได้ ต้องเป็นตัวที่สามารถพลิกเกมเองได้ แบบ แมสซี่ หรือ โรนัลโด้

การประเมินคุณค่าของนักเตะเกินความจำเป็น จากความต้องการที่มีสูงมาก ของผู้ซื้อ ทำให้การโก่งค่าตัวเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับในยุคนี้ นักเตะธรรมดาๆ ทั่วไปก็แทบจะไม่ต่ำกว่า 10 ล้านปอนด์ ยิ่งเป็นนักเตะอังกฤษยิ่งแพง เวอร์วัง อลังการ จากการเล่น สงครามราคา ของสโมสร ส่งผลกระทบไปยังตัวนักเตะ ในเรื่องของค่าเหนื่อยด้วย เมื่อสโมสร ได้รับเงินจำนวนมหาศาลจากการซื้อขายตัวนักเตะ ตัวนักเตะเองก็ย่อมที่จะต้องการเรียกร้องค่าเหนื่อยที่สูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทุกวันนี้ ไม่ค่อยจะมีนักเตะที่จงรักภักดีกับสโมสร ถ้าจะมีก็น้อยมากๆ นักเตะส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงใ้ห้ความสำคัญกับเรื่องของเงิน มากกว่า ฟุตบอล จะเล่นที่ไหนอย่างไร ไม่สำคัญ ขอให้จ่ายฉันมากๆ ก็พอ เราจะเห็นนักเตะดังๆ หลายคนย้ายข้ามทวีป  มาเล่นที่ เอเชีย มาโกยเอาเงินหยวนเข้ากระเป๋า ทั้งๆที่รู้ว่ามาตราฐานฟุตบอลแถวบ้านเรายังไงก็เทียบไม่ได้กับ ทางฝั่งยุโรป

จากนี้ไปพวกเรา เหล่าคอบอลคงต้องคอยติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว การซื้อขายนักเตะ ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใน  อีก 1 เดือนข้างหน้านี้ ว่าจะมีนักเตะคนใดย้ายไปที่ไหนกันบ้าง ทีมรักทีมโปรด จะได้ใครมาเสริมทีม ใครจะเป็นคนทำลายสถิติในการซื้อขาย แต่ละทีมจะเสียเงินกันอีกเท่าไหร่ 1 ก.ค. คงได้รู้กันครับ

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ผู้ปิดทองหลังพระ


เอ็นโกโล่ กองเต้ ถ้าเอ่ยถึงชื่อนี้ ในตอนนี้คงไม่มีใคร ไม่รู้จัก เพราะเขา คือ ผู้เล่นที่พึ่งคว้า รางวัล ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2017 ของ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ อังกฤษPFA Players' Player of of 
the Year 2017 ) ซึ่งรางวัลนี้เป็น รางวัลที่ใช้ผลโหวต จากนักฟุตบอลอาชีพ ทั่วทั้งประเทศอังกฤษ นอกเหนือจากนี้แล้วยังมี รางวัล ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยม ประจำปี 2017 ซึ่ง เดเล่ อัลลี่ ของทีม    ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เป็นผู้ได้รับรางวัลไป  หากจะย้อนกลับไปใน 2 ปีที่แล้ว ถ้าพูดชื่อ นักฟุตบอลที่ชื่อ เอ็นโกโล่ กองเต้ คงจะมีคนสงสัยว่า ไอ้หมอนี่ เป็นใคร มาจากไหนกัน และไม่ค่อยมีใครรู้จักเขา อย่างแน่นอน ยกเว้น ผจก.ทีม เลสเตอร์ ซิตี้ จิ้งจอกสยามของเรา ในตอนนั้น ก็คือ เคลาดิโอ   รานิเอรี่ เสือเฒ่า ผู้ที่มากด้วยประสบการณ์ และสายตาที่เฉียบคม เป็นคนไป คว้าตัวเขามา จาก ก๊อง ทีมใน    ลีก เอิง ฝรั่งเศส  ในปี 2015 

จากนักเตะ โนเนม  ตัวเล็กๆ ดำๆ ที่ย้ายจากฝรั่งเศส มาอยู่กับ จิ้งจอกสยาม เขาก็ได้รับมอบหมายบทบาทให้เล่น เป็นตัวตัดเกม ของคู่แข่ง และ รักษาสมดุล ในแดนกลาง โดยทำงานร่วมกับ แดนนี่      ดิงส์วอร์เตอร์ ,ริยาช มาเรช และ เจมี่ วาร์ดี้ จนสามารถ สร้างตำนาน มหากาฬ สุดยิ่งใหญ่ ด้วยการพาทีม เล็กๆ อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นเถลิงแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ เป็นครั้งแรก ของสโมสร หากเรามองการเล่นของ ก็องเต้ ผ่านจอทีวี ที่บ้าน ก็คงจะไม่เห็นว่า หมอนี่ เล่นได้โดดเด่นอะไรนัก เพราะเขาไม่ใช่ ผู้เล่นที่คอยทำประตู หรือ จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้บ่อยๆ ได้แต่วิ่งไปวิ่งมา           อันนี้ต้องบอกว่า ผมเองก็ไม่เคยได้ดูการเล่นของเขาเลย ตอนที่อยู่กับ เลสเตอร์ มาเริ่มดูเขาเล่นแบบจริงๆจังๆ ก็ตอนที่อยู่กับ เชลซี นี่แหละ หลังจากที่ได้ดูเขาเล่นแล้ว ก็ต้องบอกว่าไม่แปลกใจเลย          ที่เพื่อนร่วมอาชีพ จะโหวตให้เขา เป็นอันดับหนึ่ง เพราะเขาคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในทีมอย่างแท้จริง 

ก็องเต้ ทำหน้าที่เหมือนแม่บ้าน ในบริษัทใหญ่ๆ ที่ค่อยปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาด เวลาที่เจ้านาย หรือ พนักงานในบริษัท ทำเลอะ เราจะเห็นเขาวิ่งพล่านไปทั่วสนามอยู่ตลอดเวลา คอยตัดเกมเวลาที่เพื่อนเสียบอล และกำลังจะเสียเปรียบให้คู่แข่ง คอยเก็บบอลในจังหวะสอง แล้วจ่ายให้เพื่อนเพื่อไปทำเกมใหม่ สไตล์การเล่น อาจดูคล้ายๆกับ โคลด มากาเลเล่ ตำนานนักเตะ ของ เชลซี แต่สิ่งที่ ก็องเต้  ดูแตกต่าง ก็คือ เขาสามารถ ทำประตูได้ด้วย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ มากาเล่เล ไม่มี

นักเตะอย่าง ก็องเต้ จึงมีความสำคัญ ต่อทีมอย่างมาก ทีมไหนมีนักเตะอย่างเขา อยู่ในทีม โอกาศที่ประสบความสำเร็จย่อมมีสูงกว่าทีมอื่น  คำว่า ผู้ปิดทองหลังพระ จึงดูจะเหมาะกับเขาอย่างมาก เพราะการปิดทองหลังพระไม่ค่อยมีคนเห็นสักเท่าไหร่ ผู้คนมักจะสนใจแต่ด้านหน้า แต่ถ้าหากคนเรามุ่งแต่จะปิดทองกันที่ด้านหน้าองค์พระอย่างเดียว พระพุทธรูปองค์นั่น ก็คงไม่สวยงาม บริบูรณ์ ดังนั้น ไม่ว่าในวงการใด ก็ต้องมีคนที่พร้อมจะเสียสละ เรื่องส่วนตัว เพื่อให้สังคม ได้อยู่กันอย่างสงบสุข 

แต่ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อ ทำดีต้องได้ดี และ มีคนเห็น อย่างแน่นอน ดังนั้น เราทุกคนควรจะหมั่นทำความดีเอาไว้ ถึงจะไม่มีคนเห็น แต่ขอให้เรารู้ว่าเราได้ทำอะไร เป็นพอ เหมือนกับ นักเตะ ที่ชื่อ เอ็นโกโล่      ก็องเต้ ผู้ปิดทองหลังพระ  คนนี้  ที่ได้รับรางวัลแห่งความมุ่งมั่นทุมเท ของเขานั่นเอง   

#Pairoj13
#ขอบคุณที่ติดตาม

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เมื่อทุกอย่างเป็นใจ...ให้หงส์แดง

 


  ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เดินทางมาถึงช่วงท้ายของฤดูกาลแข่งขันแล้ว หลังจากผ่านนัดที่ 34 ไปเรียบร้อย ก็คงจะเห็นว่าที่ ทีมแชมป์ กันลางๆ แล้ว การบุกไปเอาชนะ ทีมเอฟเวอร์ตัน ได้ถึงถิ่น          3 ต่อ 0 ทำให้ เชลซี ขยับเข้าใกล้คำว่าแชมป์ขึ้นทุกที ด้วยความได้เปรียบในเกมที่เหลืออยู่ ซึ่งคู่ต่อสู้ถือว่าอ่อนชั้น กว่า ทีม สเปอร์ ที่ต้องเจอกับ ทั้ง แมน ยู ที่ไม่แพ้ใครมา 24 เกม และ เลสเตอร์ ที่กำลัง อยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม อย่างมาก  เราไปดูกันว่า 4 เกมที่เหลือ ของทีมลุ้นแชมป์ ต้องพบกับใครกันบ้าง


ดูจากตารางการแข่งขันแล้ว คงไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับ ทีม เชลซี เลยนะครับที่จะ คว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาลนี้มาครอง ได้สำเร็จ ด้วยระยะห่างของจำนวนคะแนน และ เกมการแข่งขันที่เหลือ ทำให้เชลซี ได้เปรียบคู่แข่งอย่าง สเปอร์ อยู่มาก แต่ฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ ครับ ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตได้แน่นอน ไม่งั้นคงมีคนรวยจากฟุตบอลกันเต็มบ้านเต็มเมือง 55 การวิเคราะห์ถือเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องจริงจะเป็นยังไงนั้น เราคงต้องติดตามดูกันต่อไป

มาถึง โควต้า แชมป์เปี้ยนลีก กันบ้าง ฤดูกาลนี้ถือว่า ลุ้นกันมันหยดจริงๆ เพราะมีถึง 4 ทีม ด้วยกันที่มีสิทธิ์ หยิบตั๋ว ที่เหลือ อยู่ 2 ใบเข้าไปเล่นในรายการนี้ 4 ทีมที่ว่า ก็มี

1.ลิเวอร์พูล                       แข่ง 35  นัด   69  คะแนน
2.แมนเชสเตอร์ ซิตี้          แข่ง 34  นัด   66  คะแนน
3.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  แข่ง 34  นัด   65 คะแนน
4.อาร์เซน่อล                     แข่ง 33  นัด  60 คะแนน

ตารางการแข่งขัน


ถ้าดูจากจำนวนนัดที่เหลือ ถือว่า ทีมปืนใหญ่ อาร์เซ่นอล ดูจะได้เปรียบที่สุด เพราะว่าแข่งน้อยกว่าเขาทั้งหมดใน 4 ทีม แต่ถ้าหากดูจากคู่แข่งที่ต้องแข่งขันด้วยแล้ว ทีม เรือใบ สีฟ้า ดูจะมีภาษีดีกว่าเพื่อน เพราะมีคู่ต่อสู้เป็นทีมเล็ก แทบทั้งสิ้น ที่หนักสุดก็คงจะเป็นทีม ผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องเจอ ทั้ง อาร์เซน่อล และ ท็อตแนม     ฮ็อตสเปอร์ 2 ยักษ์ใหญ่แห่ง ลอนดอน ถือว่าหนักหนาสาหัสเอาการ ทีมที่ดูจะได้เปรียบในความเป็นจริง ตามสถานการณ์ตอนนี้ คือทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล ของ  JK ที่สามารถเก็บชับชนะในนัดสำคัญตุนไว้ได้ก่อน ลิเวอร์พูล พลาดท่าแพ้ให้กับ คริสตัล พาเลช ในนัดก่อนหน้า ทำให้ โมเมนตัม เทไปทางฝั่ง 2 ทีมของเมือง แมนเชสเตอร์ ที่แข่งน้อยกว่า ถึง 2 นัด แต่ทั้ง 2 ทีม ก็ไม่อาจรักษาความได้เปรียบอันนั้นไว้ได้ ด้วยการทำได้แค่ เสมอ ทั้ง 2 นัด 1 นัด คือการต้องมาตัดแต้มกันเอง

จากสถานการณ์แบบนี้ ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเป็นใจให้กับ ลิเวอร์พูล ในการคว้าโควต้า แชมป์เปี้ยนลีก ในฤดูกาลหน้า เกมการแข่งขันที่เหลือ ของ หงส์แดง ก็ถือว่าไม่ได้หนักหนาอะไร สิ่งที่ ลิเวอร์พูลต้องทำคือ การมองถึงชัยชนะใน 3 เกมที่เหลือ และ รักษามาตราฐานการเล่นของตัวเองเอาไว้ ไม่ทำพลาดเอง การที่สามารถเก็บ 3 คะแนน  มาได้จาก ทีม วัตฟอร์ด ถือเป็นการโยนความกดดันไปให้ ทั้ง แมน ซิตี้ และ แมน ยู ที่ยังไม่ได้แข่งขัน ซึ่งทั้งสองทีม จะพลาดไม่ได้อีกแล้ว ถ้าหากพลาด โอกาส ในการคว้าตั๋วใบสุดท้ายคงจะเหลือน้อยเต็มที่ โดย เฉพาะ แมน ยู คงจะต้องหันกลับไปโฟกัสที่ ถ้วย ยูโรป้า ลีก แบบจริงจังแทน

#Pairoj13
#ขอบคุณที่ติดตาม