วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ความพ่ายแพ้ที่แอนฟิวส์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ ทีมลิเวอร์พูล ที่พ่ายแพ้คาบ้านให้กับทีมระดับกลางหรือระดับเล็กๆ เราอาจจะเห็นจนชินตาในฤดูกาลก่อน แต่การพ่ายแพ้ให้กับ ทีมเวสต์แฮม ในครั้งนี้เป็นการทำลายสถิติที่ลิเวอร์พูลได้สร้างไว้มาอย่างยาวนานถึง 42 ปี คือการไม่แพ้ให้กับทีมขุนค้อนในบ้าน มันบ่งบอกถึงอะไร?
ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะออกสตาร์ท ฤดูกาลได้ดี ด้วยการ ชนะ 2 เสมอ 1 เก็บได้ 7 คะแนน ดูเหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่แล้วก็มาหยุดชงักในนัด ที่ 4 ด้วยพ่ายแพ้ต่อทีมขุนค้อน มันอาจจะวัดผลอะไรไม่ได้ เพราะยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินลิเวอร์พูล เพราะทีมใหญ่ทีมอื่นก็พลาดเหมือนกัน ไม่ว่า จะเป็น อาเซน่อล ที่แพ้มาก่อน หรือ เชลซี ที่ออกสตาร์ทได้ไม่ดีเช่นกัน แต่สิ่งที่ลิเวอร์พูลยังแก้ปัญหาไม่ได้ก็คือประสิทธิภาพในการทำประตู และ ความผิดพลาดในแนวรับ ถึงแม้จะได้นักเตะใหม่มาหลายคน แต่ดูเหมือนทุกอย่างไม่ได้ดีขึ้นเลย การวางแท็คติก ของ ร็อดเจอร์ กล้าๆกลัวๆเกินไป ด้วยการใช้กองหน้าเพียงตัวเดียว ทั้งที่ มีกองหน้าให้เลือกใช้งานอยู่หลายตัว ทำให้กองหน้าที่มีในสนามอย่าง บิ๊กเบน เบนเตเก้ โดดเดี่ยวเกินไป ในแดนหน้า กว่ากองกลางจะขึ้นมาช่วยทันก็เสียบอลให้กับคู่ต่อสู้ไปแล้ว ประสิทธิภาพในการเข้าทำจึงไม่มี เป็นผลทำให้ลิเวอร์ทำประตูไม่ค่อยได้ ต่างจากฤดูกาล 2013-2014 ที่ ร็อดเจอร์ใช้แท็คติก 4-4-2 ไดมอนด์ มี ซัวเรซ และ สเตอร์ริด ยืนคู่กัน สถิติการทำประตูจึงถล่มทลาย เรื่องของเกมรับ ผู้จัดการทีมกลับมาใช้ กองหลัง 4 ตัวอีกครั้ง โดยมีนักเตะหน้าใหม่ อายุเพียง 19 ปี อย่าง โจ โกเมซ ยืนประจำการฝั่งซ้าย คู่กลาง เป็น สเคอร์เทล และ ลอฟเรน ทางขวา เป็น ไคลน์ 3 เกมที่ผ่านมา กองหลังชุดนี้ทำได้ดี ด้วยการเก็บคลีนชีท ไม่เสียประตูให้กับคู่แข่ง แต่ฟอร์มมาหลุดเอาในเกมที่ 4 นี้จนได้
โดยเฉพาะ เดยัน ลอฟเรน ที่มั่นใจในตัวเองเกินไป ไม่ยอมเคลียร์บอล จนเป็นต้นเหตุของการเสียประตู กองหลังทีมชาติโครเอเชีย ผู้นี้มีผลงานโดดเด่นกับ เซาแธมป์ตัน จึงถูก ลิเวอร์พูลดึงตัวมาในฤดูกาลก่อน แต่พอย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลผลงานก็ตกลงไป ไม่สามารถปรับตัวได้ จึงถูกดร๊อปเป็นตัวสำรอง ในฤดูกาลนี้ได้รับโอกาสเป็นตัวจริงอีกครั้ง และทำได้ดีใน 3 นัดที่ผ่านมา จุดเด่นของ ลอฟเรน คือการเติ่มเกมรุก ซึ่งเป็น สไตล์ที่ ร็อดเจอร์ชื่นชอบ ที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในเกมรุก แต่ข้อด้อยของเขาคือการประกบคู่ต่อสู้ และการเอาชนะในลูกกลางอากาศ ซึ่งเขาเองยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนสุดท้ายแล้วลิเวอร์พูลก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง
ความพ่ายแพ้ต่อเวสแฮมป์ ในบ้าน บ่งบอกอะไร? มันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอนาคตการทำงานของ ร็อดเจอร์ ในถิ่นแอนฟิวส์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล รอดพ้นจากการถูกปลด ในฤดูกาลที่ผ่านมาอย่างหวุดหวิด เขายอมสังเวย มือขวาคู่ใจทีมร่วมงานกันมาหลายปี เพื่อแลกกับการได้อยู่ในถิ่นแอนฟิวส์ต่อ แต่ถ้าหากผลงานของทีมยังลุ่มๆดอนๆ อย่างนี้ เชื่อว่า ร็อดเจอร์ คงเหลือเวลาอีกไม่นานในแอนฟิวส์ ทุกนัดหลังจากนี้ ต้องคอยจับตาดูว่า ผลงานจะเป็นอย่างไร ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงภานในทีม ลิเวอร์พูล อย่างแน่นอน
# ขอบคุณที่ติดตาม
@pairoj13
เผยวิธีการสร้างรายได้จากที่บ้าน ลงทะเบียนรับเคล็ดลับ ฟรี!! --->>ลงทะเบียนเดี๋ยวนี้
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558
เปิดฉากพรีเมียร์ลีก
สำหรับทีมที่มีฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในสายตาของผม ที่จะไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ คงต้องยกให้กับ จิ้งจอก สยาม เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เปิด คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ไล่ถลุง ทีมแมวดำ ซันเดอร์แลนด์ แบบไม่หยั้ง 4 : 2 สามารถขึ้นไปรั้งอันดับ 1 ได้ในสัปดาห์แรก ฟอร์มการเล่นของเลสเตอร์ดีต่อเนื่องมาจากช่่วงท้ายฤดูกาลก่อน ด้วยการเก็บชัยชนะติดต่อกันหลายนัด จนทำให้รอดตกชั้นไปอย่างสบายๆ ไม่ต้องลุ้นอะไรในช่วงท้ายฤดูกาล ทางด้านซันเดอร์แลนด์ ก็ยังย่ำแย่เหมือนเดิมยังคงรักษามาตราฐานการหนีตกชั้นได้ดีเหลือเกิน ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมสักกี่คน ก็ยังไม่เห็นแววว่าทีมจะดีขึ้นเลย
มาพูดผลงานของทีมน้องใหม่ทั้ง 3 ทีมกันบ้าง ทั้ง วัตฟอร์ต ,นอริช และ บอร์นมัธ ทีมที่ดูจะทำได้ดีกว่าใครก็คงจะเป็น วัตฟอร์ต ที่บุกไปเอาแต้มจาก กูดิสัน พาร์ค มาได้ ด้วยการ เสมอ กับ เอฟเวอร์ตัน 2:2 ส่วนอีก 2 ทีมก็ประเดิมนัดแรกด้วยการพ่ายแพ้ ตามคาด ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าทั้ง 3 ทีมจะมีทีมไหนที่อยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้ ถือว่าเป็นงานยากมากจริงๆ สำหรับผู้จัดการทีม เพราะว่า พรีเมียร์ในยุคนี้ มีการแข่งขันกันในด้านของเรื่องเงินทุนสูงมาก มาตรฐานของนักเตะก็เลยสูงตามไปด้วย ขนาดทีมระดับเล็กหรือระดับกลาง อย่าง สโต๊ค , เวสต์แฮม และ คริสตัล พาเลซ ยังสามารถดึงนักเตะฝีเท้าดีๆ เข้ามาร่วมทีมได้ ทำให้มาตราฐานของพรีเมียร์ลีกปีนี้ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือว่าเป็นงานที่ยากมากๆ สำหรับทีมน้องใหม่ทั้ง 3 ทีม ที่จะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ก็ต้องคอยลุ่นคอยเอาใจช่วยกันต่อไปครับ สำหรับพวกเรา คนรักฟุตบอลทั้งหลาย
บทความต่อไป คอยติดตามกันนะครับว่าผม จะนำเรื่องราวอะไรมานำเสนอกับท่านผู้อ่านทุกท่านอีก ในบทความนี้ต้องจบแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามครับ
#pairoj13
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558
The special one จอมโอหัง
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน บทความนี้ใช้เวลาห่างกันพอสมควรจากบทความที่แล้วนะครับ ตัวผู้เขียนเองติดภารกิจที่ต้องปฏิบัติเร่งด่วน ต้่องขออภัยท่านผู้อ่านมานะโอกาสนี้ด้วยครับที่ต้องรอนาน
อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ศึกฟุตบอลในลึกชั้นนำในต่างประเทศก็จะเริ่มทำการแข่งขันกันแล้วครับ โดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ทุกท่านคงใจจดใจจ่อรอคอยมานานก็จะอุบัติขึ้นในวันเสาร์ ที่ 7 ส.ค.58 ที่จะถึงนี้ แต่ก่อนจะเริ่มต้นฤดูกาลก็จะมีนัดพิเศษเกิดขึ้นทุกปีเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นการแข่งขันในรายการการกุศล ที่เรียกกันว่า community shield โดยจะนำเอา แชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แชมป์ FA Cup มาทำการแข่งขันกัน ชิงถาดแชมป์ ซึ่งปีนี่เป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองหลวง อย่าง เชลซี (แชมป์พรีเมียร์ลีก) กับ อาร์เซ่นอล (แชมป์ FA Cup) ในปีที่แล้ว การแข่งขันเริ่มดุเดือดตั้งแต่ยังไม่เริ่มเกม ประเด็นก็คือว่า ผู้จัดการทีมของทั้งสองทีม ไม่ค่อยถูกชะตากันสักเท่าไหร่ ทั้ง มูรินโญ่ และ อาร์แซน เวนเกอร์ ต่างสาดน้ำลายใส่กัน เล่นสังครามจิตวิทยา โดยสถิติที่ทั้งคู่พบกันปรากฏว่า เวนเกอร์ ไม่เคยเอาชนะ น้ามู ได้เลย จึงทำให้เวนเกอร์มีความกระหายที่จะเอาชนะให้ได้ โดยเวนเกอร์ได้กล่าวว่า ""สถิติมีไว้เพื่อทำลาย"" เมื่อการแข่งขันจบลง ลูกทีมของ เวนเกอร์ ก็สามารถเอาชนะไปได้ ด้วย สกอร์
1 : 0 ด้วยการยิงอันสุดสวยของช่างอ๊อกเหล็ก แชมเบอร์เลน แต่ที่น่าสนใจไม่ใช่การแข่งขันแต่เป็นพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของผู้จัดการทีมทั้งสองฝ่ายที่ไม่มีสปีริตในการแข่งขัน ไม่ยอมจับมือกันทั้งก่อนและหลังที่การแข่งขันจบลง แต่ที่แย่ไปกว่าคือพฤติกรรมของ โจเซ่ มูรินโญ่ ที่ไม่ให้เกีรยติรายการแข่งขันนี้ เพราะเขาไม่ยอมรับเหรียญร่างวัลที่ได้จากการเป็นฝ่ายแพ้ และโยนเหรียญรองชนะเลิศ ที่ได้รับนั้นให้กับแฟนบอล โดยเขาได้บอกว่า "เขาไม่ต้องการรางวัลของผู้แพ้" ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวตัวผมเองรู้สึกว่า น้ามู ทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้จัดการทีมระดับโลก ที่มีทั้ง วัยวุฒิ และ คุณวุฒิ และเกียรติประวัติความสำเร็จมากมาย เขาน่าจะทำตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้จัดการทีมรุ่นหลังบ้าง ไม่ใช่ใช้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลแบบนี้ จริงอยู่นิสัยโดยส่วนตัวของ มูรินโญ่ เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง (Ego) แต่การแข่งขันรายการนี้นับว่าเป็นรายการที่เก่าแก่ และมีประวัติมายาวนาน มีการแข่งขันถึง 93 ครั้ง และยังเป็นรายการแข่งขันที่จัดขึ้นมาเพื่อการกุศลอีกด้วย ซึ่งตัวเขาเองก็ทราบดี การกระทำของเขาครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติการแข่งขันอย่างรุนแรง เขาควรหัดที่จะยอมรับความพ่ายแพ้บางไม่ว่าจะกับทีมไหน เพราะความพ่ายแพ้มันคือส่วนหนึ่งของเกมการแข่งขัน ไม่มีใครที่จะเป็นฝ่ายชนะไปตลอด ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ผู้จัดการทีมจอมโอหังคนนี้ ต้องทำคือการออกมาขอโทษต่อสิ่งที่เขาการกระทำลงไป ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือตั้งใจก็ตาม เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีและรักษาไว้ซึ่งเจตนารมณ์ที่ดีของการแข่งขันกีฬา คือ น้ำใจ และ ความสามัคคี ผมเชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะให้อภัยเขาอย่างแน่นอน
****************ขอบคุณที่ติดตาม********************
เครดิตภาพจาก Mthai
รายได้เสริม 6 หลัก ที่ทำได้ที่บ้าน รับข้อมูลฟรี!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)