วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก

   

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016-2017 คงจะไม่มีลุ้นอะไรมากมาย สำหรับตำแหน่งแชมป์ เพราะว่า เชลซี ทำคะแนะนำห่าง คู่แข่งอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่ต้องลุ้นกันอย่างสนุก คือ อันดับที่ 2 กับ ตำแหน่ง ดาวซัลโว ประจำฤดูกาล สำหรับตำแหน่ง รองแชมป์นั้น หลังจากทีผ่านนัดที่ 26 ไป คงเหลือทีมที่พอจะมีลุ้นอยู่ 4 ทีมเท่านั้น คือ สเปอร์ ,แมน ซิตี้ , อาร์เซน่อลแและ แมนยู  ส่วน ลิเวอร์พูล ผมมองว่า คงจะไม่มีลุ้นกับเขาแล้ว เพราะดูจาก ฟอร์มการเล่น เมื่อคืนที่ผ่านมา ที่ทีม ออกไปพ่ายให้กับ จิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิติ้ แบบ หมดรูป ถึง 3-1  นั้นไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งที่ได้พักมาแบบเต็มๆ จน เจอร์เก็น คล๊อปป์ ต้องออกมาตำหนิ ลูกทีม ทั้งที่เขาไม่เคยทำเลย สงสัยนัดนี้ คงจะรับไม่ได้จริงๆ  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่ยอมเสริมทีมในช่วง ตลาดนักเตะเปิด เดือน มกราคม พอนักเตะตัวหลักบาดเจ็บ ทำให้ทีมขาดสมดุล ตัวสำรองที่ลงมาเล่นแทน ก็ฟอร์มไม่คงเส้นคงวา สำหรับเรื่องของ ลิเวอร์พูล เอาไว้ในบทความหน้า ผมจะมาเฉ่ง ให้ได้อ่านกันแบบเต็มๆ ดีกว่านะครับ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่555555

เข้าประเด็นของเราในบทความนี้กันดีกว่า เรื่องของ การแย่งชิงตำแหน่ง ดาวซัลโว ประจำลีก ซึ่งขับเคี้ยวกันอย่างเมามันมาก มีนักเตะที่มีลุ้น ถึง 5 คน ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นมานานแล้ว ในพรีเมียร์ลีก อย่างมากก็ไม่เกิน 3 คน ที่แข่งกัน เรามาไล่ เรียงกันเลย ครับ

1.แฮรี่   เคน     ทีม  ท็อตแน่ม  ฮ็อตสเปอร์     จำนวน  17  ประตู

สำหรับนักเตะคนนี้ คงไม่ต้องบรรยาย สรรพคุณของเขาให้มากความ เพราะพึ่งกด แฮตทริก ใส่ สโต๊ค ในเกมล่าสุด เคน มีจุดเด่นคือ การทำประตู เขาสามารถหาพื้นที่ในการยิงได้ดี และ มีความแม่นยำในการยิงประตูอย่างมาก








2.โลเมลู  ลูกากู  ทีม  เอฟเวอร์ตัน     จำนวน  17  ประตู

เจ้ายักษ์ผิวสี แห่ง เบลเยี่ยม คนนี้ เป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจับตามอง เพราะจากประเทศที่เข้าอยู่ ก็บ่งบอกแล้วว่าเขาต้องเจ๋งแน่นอน.....เจ้ายักษ์ คนนี้ มีครบ ทุกอย่างสำหรับการเป็น ศุนย์หน้า ทั้งสรีระร่างกาย ทักษะการทำประตู ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความแม่นยำในการยิง ผมไม่แปลกใจเลย ที่เขามาร่วมแย่งตำแหน่งดาวซัลโวในฤดูกาลนี้



3.อเล็กซีส   ซานเซ็ส   ทีม  อาร์เซน่อล   จำนวน  17  ประตู

ศูนย์หน้า ร่างเล็ก ชาวซีเลี่ยน  โดดเด่นมากในการเล่นให้กับ เจ้าปืนใหญ่ ตั้งแต่ที่เขาย้ายมาจาก ญาณแม่
บาร์ซ่า ด้วยระบบการเล่นของ
อาร์เซ่นอล ที่คล้ายคลึงกับบาร์ซ่า ทำให้เขาแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย บวกกับตัวเขาเอง ที่มีความคล่องตัว และ ทักษะการเล่นที่ดี อยู่แล้ว การยิงประตูจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ เจ้า จรวดทางเลียบคนนี้






4.ดีเอโก้  คอสต้า    ทีม  เชลซี  จำนวน   16  ประตู

ศูนย์หน้าจอมถ่อย ของเชลซี ในฤดูกาลนี้ ถือเป็นตัวหลักในการทำประตูของทีม นัดไหนที่ขาดเขา ทีมจะไม่ค่อยชนะเท่าไหร่ คอสต้า ดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว มากในฤดูกาลนี้ ลูกถ่อย ลูกเกเร ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ เขาเป็นศูนย์หน้าที่สร้างความปวดหัวให้กับกองหลังได้มากที่สุดในความคิดผม หาพื้นที่ได้ดี จมูกไว  อยู่ถูกที่ถูกเวลา มีการจบสกอร์เฉียบคม ถ้าไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน คงต้องลุ้นตำแหน่งกันยาวๆ






5.สลาตัน  อิบราโมวิช  ทีม แมนเชสเตอร์  ยูไนเต็ด  จำนวน  15  ประตู

สลาตัน ในวัยชรา ยังคงเป็นเครื่องจักรสังหารประตูที่ดี ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ทำให้เขารู้ว่า ตัวเองต้องเล่นยังไง ถึงจะยืนหยัดอยู่ในพรีเมียร์ลีกซึ่งมีเกมที่เล่นบอลกันอย่างรวดเร็วได้
จุดเด่นของ สลาตัน คือ เซนต์บอล และ สรีระร่างกาย ที่ได้เปรียบคู่แข่ง ในการเล่นลูกกลางอากาศ เขาจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอีกคนหนึ่งสำหรับ ตำแหน่งดาวซัลโว




ผู้เข้าร่วมแย่งรองเท้าทองคำ พรีเมียร์ลึก ฤดูกาลนี้แต่ละคน เรียกว่า ไม่ธรรมดาเลยจริงๆนะครับ  แต่มีอีกคน ซึ่งผมไม่ได้ยกเขามาเป็นผู้ร่วมแข่งขันด้วย เพราะด้วยสภาพทีม และปัจจัยโดยรวม คิดว่าเขาคงไปไม่ได้ไกลกว่านี้แล้ว แต่จะไม่กล่าวถึงเขาเลย ก็ดูจะใจร้ายเกินไป เขาคือ พี่เย็นตาโฟ ของเรานี่เอง (ไม่ใช่)555555



เจอร์เมน   เดโฟ    ทีม  ซันเดอร์แลนด์    จำนวน  14  ประตู

เสือเฒ่า เดโฟ  ระหกระเหิน ไปมาหลายทีม สุดท้ายก็ต้องมาใช้ชีวิตในบันปลายของอาชีพนักฟุตบอล ในถิ่น  สเตเดี้ยม ออฟไลน์ ของทีมจากแดนใต้  ซันเดอร์แลนด์  โดยมีนายใหญ่ ลูกพี่เก่าของพลพรรคปีศาจแดง หนุนหลัง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ทำให้เจ้านายผิดหวัง เขาตอบแทน เดวิด ด้วยการถล่มประตู ได้เป็น กอบเป็นกำ ยิงได้มากกว่านักเตะของทีมที่มีเกมรุกดีอย่าง ลิเวอร์พูล เสียอีก จุดเด่นของ เดโฟ คือ ความเร็ว คล่องตัว และ การใช้โอกาสไม่เปลือง ถ้าเขาได้ลองส่องไก เมื่อไหร่ แทบจะเตรียม บวกสกอร์ได้เลย

เป็นยังไงกันบ้างครับ เป็นที่ถูกอกถูกใจกันบ้างรึเปล่า รักคนไหน ชอบคนไหน ก็ตามเชียร์กันเอานะครับ
ศูนย์หน้าที่ดี ก็มีชัย ไปกว่าครึ่ง จริงมั้ยครับ ถึงแม้ ฟุตบอลจะเล่นกันเป็นทีม แต่ถ้า กองหน้า มีความเฉียบคม ในการทำประตูแล้ว โอกาส แค่ครั้งเดียว ก็สามารถเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันได้  ก็ต้องคอยติดตามลุ้นกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว ใคร จะครองตำแหน่ง ดาวซัลโว ของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ มาครองได้สำเร็จ

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13


วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แชมป์แรกของ Man U

     

         ฟุตบอลรายการ EFL ชื่อใกล้ กัน NFL เลย...55555 หรือ ฟุตบอลลีกคัพของ อังกฤษ ก็ได้บทสรุปเรียบร้อยแล้วนะครับ เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย กับเหล่าสาวกปีศาจแดง  ที่ทีมรักสามารถ คว้าแชมป์แรก ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ เซาแธมป์ตัน ไปได้ด้วย สกอร์ 3-2 ภายใต้การคุมทีม ของ ผจก.หน้าเครียด โซเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งก็คงเป็นไปตามความคาดหมาย แต่สำหรับผมแล้ว ได้ดูเกม คิดว่าทั้งสองทีมเล่นกันได้อย่างสนุก และ สูสี กันมาก ผลัดกันรุกและรับ ทำให้เกมออกมาน่าเบื่อ และสนุกที่เดียว เหมาะสมกับการเป็นคู่ชิงชนะเลิศ อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่า เซาแธมป์ตัน ดูจะเป็นรองในเรื่องของตัวผู้เล่น แต่พวกเขาก็สู้ได้ดี มีจังหวะทำประตูอยู่หลายครั้ง เพียงแต่ขาดความเฉียบคม เท่านั้นเอง
      สำหรับ แมนยู นั้นถึงจะมีความได้เปรียบอยู่หลายอย่าง แต่ก็เกือบจะเสียท่า ตอนที่ทีมขึ้นนำอยู่ 2-0 แล้วโดนตีเสมอ หลังจากนั้น ก็เป็น เซาแธมป์ตัน ที่ทำเกมบุกใส่มากกว่า เพื่อหวังเอาชนะให้ได้
แต่แล้ว ก็เหมือนโชคชะตาจะให้ แมนยู เป็นแชมป์ ทั้งที่ทีมหวุดหวิดเสียประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ และแล้วก็เป็น ไอ้หนุ่มผมยาว คนเดิม ที่โหม่งประตูชัย ให้พลพรรค ปีศาจแดง ได้เฮ ช่วงท้ายเกม ทำให้ทีม สามารถ คว้าแชมป์แรก ได้สำเร็จ ซึ่งก็เป็นแชมป์แรก ของ สลาตัน กับ แมนยู ด้วย และยังสร้างสถิติใหม่ให้กับ มูรินโญ่ ผจก. ด้วย คือ เป็น ผจก.ทีมคนแรก ที่สามารถทำทีมเป็นแชมป์ได้ ในฤดูกาลแรกที่คุมทีม.....................ถ้าจะพูดถึง ตัว มูรินโญ่ แล้ว เขามีความเชี่ยวชาญ ในการจัดตัวผู้เล่นเป็นอยากมาก จากที่เคยลองผิดลองถูกในช่วงต้นฤดูกาล หาทีมที่ลงตัวยังไม่ได้ ทำให้ที่เป๋ ไปพักใหญ่ แต่หลังจากขึ้นปีใหม่มา..เขามีทีมที่ลงตัวและสมบูรณ์มาก สไตล์การเล่นเก่าๆของแมนยู เริ่มกลับมา...คือ การเปิดบอลจากด้านข้าง แล้วให้ ศูนย์หน้าตัวใหญ่เข้าทำ ซึ่งใช้ได้ผลมากในช่วงหลัง กอปร กับ ฟอร์มการเล่นของนักเตะ จอมเก๋า อย่าง สลาตัน อิปราโมวิช กำลังเข้าฟัก ถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่ความเป็น World Class ของเขาไม่ได้ลดลงเลย สามารถผลิตประตู ได้อย่างต่อเนื่อง และเขายังมีความเป็นผู้นำสูง สามารถกระตุ้นเหล่าน้องๆ ได้เป็นอย่างดี  การมีเขาในทีม จึงสิ่งที่มีประโยชน์มาก



        หลังจากความสำเร็จ ใน EFL แล้ว Man U  ยังเหลือ รายการแข่งขัน ที่มีลุ้นอีก 2 รายการ คือ ยูโรป้า ลีก และ FA cup  ซึ่งคงต้องติดตามกันไปแบบยาวๆ แต่ด้วยสภาพทีมที่มีตอนนี้ ผมคิดว่า Man u มีศักยภาพที่สามารถจะไปถึงฝั่งฝัน หากโชคชะตาไม่เล่นตลกจนเกินไป 3 แชมป์คงไม่ไกลเกินจริง







#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ว่าที่ แชมป์ พรีเมียร์ลีก

     

         สวัสดีครับ....แฟนสิงห์บลู คงจะมีความสุข กับผลการแข่งขัน ในคืนที่ผ่านมานะครับ ถึงแม้จะมีจังหวะให้หวาดเสียวกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ ทีมต้องตกอยู่ในสถานการที่กดดัน การแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็ได้ดำเนินมาถึง นัด ที่ 26 ของฤดูกาลแล้วนะครับ เหลืออีกเพียง 12 นัด เราก็จะได้ทราบกันแล้วว่าใครจะเข้าป้าย คว้าแชมป์ ซึ่งคงจะพอมองเห็นกันลางๆ บ้างแล้ว เมื่อคืนมีการแข่งขัน กัน ทั้งหมด 6 คู่  มีผลการแข่งขันดังนี้ ครับ



ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทีมที่อยู่กลางตาราง และทีมที่กำลังดิ้นรน หนีการตกชั้น แข่งขันกัน สำหรับทีมที่อยู่  หัวตาราง ลงแข่งขัน อยู่ 2 ทีม คือ ทีมเตงแชมป์ อย่าง เชลซี และ ทีมลุ้นพื้นที่ยุโรป คือ เอฟเวอร์ตัน

สำหรับ เชลซี ก็คงไม่มีอะไรพลิกความคาดหมาย เพราะได้เล่นใน สแตมฟอร์ด บริดส์ บ้านของตัวเอง เจอกับทีม ที่ดิ้นรนหนีตกชั้น อย่าง สวอนซี ซิตี้  ที่ทำผลงานดี มาหลายนัด หลังจากที่เปลี่ยนตัว ผจก.ทีมใหม่ แต่นัดนี้ ก็ไม่สามารถที่จะมาแบ่งแต้มออกไปได้ สวอนซี ก็คงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดกันต่อไป หลังจากนี้คงต้อง โฟกัส กันไปทีละนัด


ว่าถึงเรื่อง ว่าที่แชมป์ อย่าง เชลซี หลังจากผ่านนัดที่ 26 ได้อย่างไม่ยากเย็น ก็ทำให้พวกเขา นำห่างทีมตามอย่าง แมนซิตี้ และ สเปอร์ ถึง 11 แต้มเข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งสองทีม จะแข่งขันน้อยกว่า 1 นัด ก็ตาม การเอาชนะ สวอนซี ได้ด้วย ผลการแข่งขัน  3-1 ทำให้ เชลซี โยนความกดดันทั้งหมด ไปให้กับทีมที่กำลังไล่ตามหลังมา และ เข้าใกล้แชมป์ไปทุกขณะ เพราะในทางปฏิบัติแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ทั้ง แมนซิตี้ และ สเปอร์ จะไล่ทัน ถึงแม้ว่าในทางทฤษฏี จะพอมีความหวัง   อยู่บ้าง ถ้าดูจากตารางคะแนะแล้ว จะเห็นว่าทั้งจำนวนคะแนน และ จำนวนประตู ได้เสีย ห่างจาก ทีมตามอยุ่มากเหลือเกิน การที่ทั้่งสองทีม จะตามทันนั้นเป็นไปได้ยาก หรือ อาจจะเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้น ในเกมที่เหลืออยู่    เชลชี จะพลาด เสมอ และ แพ้ ทั้งหมด

  
เชลซี เหลือการแข่งขัน อีก 12 นัด ใน 12 นัดนี้ จะพบกับทีม ใหญ่ อยู่ 3 ทีมด้วยกัน คือ 1.วันที่ 6 เม.ย.60 พบกับ แมนซิตี้  2.วันที่ 15 เม.ย.60 พบกับ แมนยู 3.วันที่ 29 เม.ย.60 พบ เอฟเวอร์ตัน  นอกนั้นเป็นการพบทีม ท้ายตารางทั้งหมด จะเป็นการเล่นในบ้าน 5 นัด และ นอกบ้าน 7 นัด เชลซี ต้องการ 28 แต้มเพื่อการันตีการเป็นแชมป์ อย่างแน่นอน และพวกเขา สามารถ แพ้ได้ 2 นัด และเสมอ 1 นัด ในข้อแม้ที่ แมนซิติ้ ต้องเก็บ ชัยชนะได้ทั้งหมด 13 นัด ซึ่งใน 13 นัดนั้น จะพบกับ ทีมใหญ่ 4 นัด คือ แมนยู ,ลิเวอร์พูล ,อาร์เซนอล และ เชลซี ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมากๆ คงมีเพียงแต่ปาฏิหาริย์ เท่านั้น อย่างเช่น เลสเตอร์เคยทำได้ ก็คงต้องรอดู ว่ามันจะเกิดขึ้นรึเปล่า



"เชลซี" อยู่ในสถานการณ์ ที่ได้เปรียบ คู่แข่งทุกประตู ในทัศนะของผม คิดว่า คงจะไม่มีอะไรผิดพลาดในการที่ เชลซี จะเป็นแชมป์ จากฟอร์มการเล่น สภาพทีมที่สมบูรณ์ ไม่มีนักเตะบาดเจ็บ ผจก.ทีม อย่าง   อันโตนิโอ คอนเต้  ที่มีประสบการณ์และความเคี้ยวในการจัดการ ได้ดี  โชคชะตา ที่เข้าข้าง ทีมคู่แข่ง    ที่พลาดเอง มันส่งผลดีให้กับทีมทั้งหมด ทีมที่จะเป็นแชมป์ ต้องมีองค์ประกอบ เหล่านี้ครบ  แชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016-2017 คงจะเป็นทีมไหนไม่ได้ นอกจาก สิงโตน้ำเงิน "เชลซี"



#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
ขอบคุณภาพจาก : www.goal.com



วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ชะตากรรมของ ผู้จัดการทีม

       

       ข่าว สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้  แชมป์พรีเมียร์ลึก ล่าสุด ได้ปลด คลาดิโอ  รานิเอรี่  เรียบร้อยแล้ว หลังจากทำทีมแพ้ ให้กับ เซบีย่า  2-1 ใน ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลึก ที่ผ่านมา การปลดครั้งนี้ก็เป็นที่คาดการของสื่อหลายสำนักอยู่แล้ว เพราะผลงานใน พรีเมียร์ลึก ไม่ค่อยดี ทำได้เพียง 25 แต้มจาก 21 นัด อยู่เหนือโซนตกชั้นแค่ คะแนนเดียว จากผลงานที่เหนือความคาดหมายจากฤดูกาลที่แล้ว เป็นมหากาฬ ที่ไม่มีใครเชื่อว่า เลสเตอร์ จะสามารถ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีกมาครองได้ เพราะถ้าเทียบ ศักยภาพของทีมแล้ว สู่ทีมใหญ่ร่วมลึก ไม่ได้เลย แต่ด้วย การจัดการทีมที่ดี จาก ผจก. ที่มีประสบการณ์มากมาย และ ฟอร์มส่วนตัวของผู้เล่น โนเนมในทีม ที่ไม่รู้ว่า ไปเอามาจากไหน  ทั้ง ริยาด  มาเรซ และ เจมี่  วาร์ดี้ ต่างขยันระเบิดฟอร์มเก่งออกมา ให้คู่แข่งต้องขยาดกันตลอด ผลงานโดยรวมจึงออกมาดี บวกกับความกดดันที่แทบจะไม่มีเลย ต่างจากในฤดูกาลนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะการที่ทีมได้แชมป์ ย่อมแบกรับความคาดหวังของแฟนบอล อยู่แล้ว ถึงแม้เป้าหมายในฤดูกาลนี้ จะเป็นเพียงแค่ให้อยู่รอดใน พรีเมียร์ลีก อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ เลสเตอร์  ผลงานย่ำแย่ ผมขอจำแนก ออกเป็นข้อ ดังนี้

1. ผู้เล่นขาดแรงจูงใจในการเล่น อาจจะเป็นเพราะพึ่งผ่านความสำเร็จมาแล้ว และผู้เล่นบ้างคนก็ไม่มีสมาธิ เนื่องจาก อาจจะต้องการย้ายออกไปอยู่กับทีมที่ใหญ่ ใจไม่อยู่กับทีม อีกต่อไป

2. การขายนักเตะ สำคัญ ในแดนกลาง อย่าง กองเต้  ที่เป็นผู้ปิดทองหลังพระให้กับ เลสเตอร์ อย่างแท้จริง ทำให้กองกลางขาดความสมดุล และขาดความแน่นอน กองเต้ ไม่ใช้กองกลางที่ทำเกมได้ดี แต่เขาคือตัว ตัดเกม และ คุมเกม ชั้นเยี่ยม การมีเขาในทีม ทำให้ กองหลัง ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก เพราะเขาจะคอยเก็บกวาดแดนกลางให้ตลอด


3.การได้ไปเล่น ฟุตบอลยุโรป เนื่องจากทีมได้เข้าไปเล่นในรายการแชมป์เปี้ยนลีก เป็นครั้งแรก ผมคิดว่า ทีมคงจะโฟกัส ไปที่รายการนี้ เพราะถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่ดี กว่าพรีเมียร์ลีก หากหลุดเข้าไปในรอบลึกๆ กว่าที่จะหันกลับมา สนใจความอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ทีมก็อยู่ในสถานะการทีไม่ค่อยดีแล้ว

4.สภาพทีม ที่เล็กเกินไป  มีนักเตะให้ใช้งานไม่มากนัก แล้วต้องลงแข่งขัน ในหลายรายการ ทำให้นักเตะ เกิดอาการหล้า อย่างเห็นได้ชัด ทำให้ฟอร์ม การเล่นไม่ดีเท่าที่ควร จะเห็นว่า ทั้ง มาเรซ และ วาร์ดี หายไปจากเกม เรียกว่า เกิดอาการช็อต เมื่อทั้งคู่ทำเกมไม่ได้ เลสเตอร์ ก็ไม่สามารถมีคะแนะ กลับมาได้ ผลงานจึงออกมาอย่างที่เห็นกัน



จากผลงานที่ย่ำแย่แบบนี้  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ก็คงไม่ใช้ใคร ผจก. นั้นเอง เพราะทุกอย่างภายในทีมขึ้นอยู่กับตัว ผจก.ทีม ทั้งสิ้น รานิเอรี่ ไม่ใช้ ผจก.ทีม คนแรก และคนเดียวที่ถูกปลด ผจก.ทีมทุกคน ก็ต้องตกอยู่ใน ชะตากรรม เดียวกันนี้ หากทีม ที่พวกเขาคุมอยู่ ทำผลได้ ไม่ได้อย่างที่ เจ้าของทีมตั้งเป้าเอาไว้  ผลงานที่ผ่านมา ไม่ใช้เครื่อง การันตี ความมั่นคงทางอาชีพ ทุกอย่างขึ้นอยุ่กับผลงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับทีม เล็กๆ ที่ไม่ได้มี งบประมาณ มากนัก ความอยู่รอด ในลีก อันดับ 1 ของ ประเทศ จึงเป็นเหมือนท่อน้ำเลี้ยงที่ดี ของทีม อีกประการหนึ่ง หากต้องตกไปเล่นในลีกรองลงไปแล้ว การที่จะกลับขึ้นมาอีกครั้ง คงไม่ใช้เรื่องง่าย ตัวอย่างมีหลายทีม ที่ลงไปแล้ว แทบไม่กลับขึ้นมาเลย รานิเอรี่ ก็คงจะรู้ชะตากรรมของตัวเองดี และคงเตรียมใจ ไว้บ้างแล้ว หลังจากนี้ ใครจะเข้ามารับงานแทนเขา ก็คงต้องติดตามกันต่อไป ส่วนตัว รานิเอรี่ เอง เขาคงต้องพักผ่อนร่างกายจิตใจ สักระยะ ส่วนจะรับงานต่อไป หรือ เลิกนั้น ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะอายุก็ค่อนข้างมากแล้ว

การขับเคี้ยว การแข่งขัน เพื่อแย่งชิง แชมป์ ในหลายลีกดังของยุโรป ยังคงลุ้นกันอย่างสนุก สุดท้ายแล้วทีมไหน จะเข้าวิน เป็นสิ่งที่พวกเราต้องติดตาม รวมถึงสถานการในการหนี้ การตกชั้น ก็ยังต้องลุ้นกัน จนนัดสุดท้ายของฤดูกาล ทีมไหนรอด ทีมไหนไม่รอด ทีมไหนจะสร้างปาฏิหาร ได้ จากนี้ไปคงต้องลุ้นกันแบบติดขอบจอเลยทีเดียว

แล้วมาดูกันว่า ผจก.ทีม คนไหน จะกระเดนตกเก้าอี้ เป็นรายต่อไป.........................
นี่แหละคือ ความจริงของโลก ฟุตบอล ลูกกลมมีลมข้างใน ไม่มีอะไรมากำหนดได้ แน่นอน

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13


  

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หลังบ้านของ ManCity

     
     
      สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้คงเป็นโปรแกรมการแข่งขันของฟุตบอลยุโรป ทั้งถ้วยหูใหญ่ และ ถ้วยเล็ก คงจะได้ทราบผลการแข่งขันกันไปบ้างแล้ว และน่าจะเป็นที่พอใจของเหล่ากองเชียร์หลายทีม ที่สมหวังกับผลการแข่งขันกันไป ส่วนทีมที่ไม่ได้ไปเตะในรายการยุโรป ก็คงจะเงียบเหงากันไป5555 ไม่เป็นไร ดูคนอื่นเขาเล่นไปก่อน ถือว่าเป็นการพักผ่อนเตรียมความพร้อม ของทีมไปละกัน

     
       เรื่องที่เราจะมาพูดคุยในวันนี้ ก็ตามหัวข้อเลยนะครับ แฟนเรือใบสีฟ้า ถ้าได้ดูเกมการแข่งขัน คงจะหวาดเสียวไม่น้อย กลัวจะแพ้ และ ผิดหวังเหมือนอย่างปีก่อนๆ ที่ผ่านมา ถ้าพูดถึง ManCity ณ ปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทีมนี้ได้กลายเป็นทีมระดับ Top ขอยุโรป ไปแล้วเพราะด้วยงบประมาณมหาศาลที่ได้จากกลุ่มทุนจาก อาหรับ เข้ามาซื้อกิจการนำเงิน มาอัดฉีดเข้าสโมสรแบบไม่มีอั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทุ่มงบประมาณในการซื้อตัวนักเตะ เกรด A รวมถึง นักเตะ ระดับ โลก เข้ามาหลายคน เพื่อยกระดับทีม จนสามารถ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ จากความสำเร็จในประเทศ เป้าหมายต่อไปที่ ทีม แมนซิตี้ ต้องการ ก็คือการขึ้นเป็นเจ้ายุโรป นั่นคือการคว้าแชมป์ ฟุตบอล รายการ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ซึ่งถ้าเราได้ติดตามการแข่งขันในฟุตบอลรายการนี้ ก็จะรู้ว่าในหลายปีที่ผ่านมา แมนซิตี้ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยกระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มหลายครั้ง และไม่สามารถ ผ่านเข้าไปในรอบลึกๆ ได้เลย จากความล้มเหลวในฟุตบอลยุโรป ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงตัว ผจก.ทีม อยู่หลายคน มาค ฮิวส์ ,มันซินี่,เปเยกรีนี่
ล่าสุด คือ เป็ป กวาดิโอล่า  ผู้ที่สามารถ พา บาร์ซ่า เถลิงความสำเร็จมากมาย ทั้งรายการในประเทศ และ รายการยุโรป พาทีม บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์แชมป์เปี้ยนลีก ถึง 2 ครั้ง


      หลังจากที่ เป็ป  อำลา เสือใต้ บาร์เยิน มิวนิค มารับงาน กุมบังเหียน ที่ แมนเชสเตอร์ ในปี 2016 ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงทีม ไปพอสมควร โดยเฉพาะสไตล์การเล่น ดูจะมีเกมรุกที่ หลากหลาย และ น่ากลัว ทำให้ทีมผลงานดีมากๆ ในช่วงเริ่มตู้นฤดูกาล ชนะถึง 6 นัดรวด แต่หลังจากช่วงฮันนีมูนที่หอมหวานผ่านไป เป็ป ก็เริ่มรู้ว่า พรีเมียร์ลีก เป็นอะไรที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม่เหมือนในสเปน หรือ เยอรมัน การเจอกับทีมเล็กๆ ทีมบ้านๆ ไม่ได้กินหมู การเล่นฟุตบอล แบบตั้งรับและสวนกลับ เป็นที่นิยม ของทีมเหล่านี้เมื่อเจอทีมใหญ่ การเล่นหนัก เพรสซิ่ง วิ่งสู้ฟัด ทำให้ทีม แมนซิตี้ ที่มีสไตล์การบุก ทั้งทีม มีปัญหาทุกครั้ง เมื่อเจอเกมสวนกลับ โดยเฉพาะ  แนวรับ ของทีม ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะพูดถึงกันต่อไป

     สำหรับ แนวรับ ที่ เป็บ ใช้ที่ผ่านมา หลักๆ จะประกอบไปด้วย

กาแอล กลีชี่ (ซานย่า)           โอตาแมนดี้        สโตนส์         โคลารอฟ  (ซาบาเลต้า) 




     คู่กองหลังตัวกลาง (CB) จะเป็น โอตาแมนดี้ และ จอห์น  สโตนส์  ที่ ผจก.ทีม  จะเลือกใช้ประจำ จากฟอร์มการเล่นของทั้งคู่ที่ผ่านมา ผลงานโดยรวมถือว่า สอบตก โดยเฉพาะกองหลัง ตัวความหวัง ค่าตัวมหาศาล อย่าง จอห์น  สโตน ที่ทำหน้าที่ผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง จนส่งผลให้ทีมเสียประตู ในนัดล่าสุด ที่พบกับ AS Monaco สโตนส์ ก็ไม่สามารถที่จะรับมือ กับ ราเมดัล  ฟัลเกา ได้ ทั้งที่ตัวเองอยู่ในมุมที่เปรียบ  ทำให้ ฟัลเกา ได้บอลหลุดไปยิงชิบแบบเหนือชั้น ทำให้ให้ ซิตี้ เสียประตู หากย้อนไปดูตอนที่เขาลงเล่นให้ ทีมเก่า อย่าง เอฟเวอร์ตัน เขามีความแข็งแกร่งและนิ่ง มากๆ และยังสอดขึ้นไปทำประตูได้ด้วย มีสไตล์ คล้ายๆ กับ จอห์น  เทอร์รี่  ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นกองหลังดาวรุ่งอนาคตไกล คนหนึ่งของเกาะอังกฤษ  แต่พอย้ายมาอยู่กับแมนซิตี้ ด้วยค่าตัวมหาศาล 47.5 ล้านปอนด์ ( 2,232.5 ล้านบาท) ถือเป็น
กองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษ เขายังทำผลงานได้ไม่สมกับค่าตัวเท่าที่ควร ทำไมฟอร์มของ สโตนส์ ยังไม่เป็นแบบที่แมนซิตี้ ต้องการ ในมุมมองของผมคิดว่า มันประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง

1.ด้วยค่าตัวมหาศาลที่เขาย้ายเอฟเวอร์ตัน มาทำให้เขาต้องแบกรับความคาดหวัง และความกดดัน จนทำให้เกิดความผิดพลาดในการเล่น

2.ประสบการณ์ในการแข่งขัน  ที่ัยังไม่เพียงพอ จำนวนเกมที่ลงเล่น ยังต้องสั่งสม อีกประมาณ 1-2 ปี

3.การสนับของผู้เล่นในทีม ด้วยทีมที่ประกอบไปด้วย ซุปตาร์ มากมาย ความสามัคคี ในทีมอาจมีไม่มาก
เพราะนักเตะ ดังๆ มักจะมี อีโค่ ที่สูงพอสมควร ตำแหน่งกองหลังเป็นตำแหน่งที่ต้องอ่านเกมและสั่งการ บารมีของนักเตะ จึงมีส่วนสำคัญในฟอร์มการเล่นโดนรวมของทีม

4.การจับคู่ ที่ยังไม่ลงตัว ระหว่างเขา กับ โอตาแมนดี้ การอ่านเกม การสอดประสาน จังหวะ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร

สำหรับ จอห์น  สโตนส์  ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ตัวเองอีกสักระยะหนึ่ง ผมคิดว่า เด็กคนนี้มีของดีแน่นอน เพียงแต่ต้องให้เวลากับเขา เมื่ออยู่ในมือคนที่ถูกต้อง เขาจะกลายเป็น ป้อมปราการที่แข็งแกร่งของ แมนซิตี้ ได้อย่างแน่นอน


     มาที่คู่หูของ สโตนส์ บ้าง สำหรับ โอตาแมนดี้  ตัวผมเองคิดว่า เขาไม่เหมาะกับการเล่น เป็น กองหลังตัวกลาง หรือ เซ็นเตอร์แบค เพราะหมอนี่ ไม่มีความละเอียดในการเล่นเกมรับเลย เข้าบอลโฉ่งฉ่าง เสียบอลง่าย  ทุกครั้งที่เขาเข้าหาบอล มักจะทำฟาวล์ทุกครั้ง เสี่ยงต่อการเสียใบเหลือง และจุดโทษ เป็นอย่างมาก จังหวะในการเล่นลูกกลางอากาศ ก็ไม่ดี ตำแหน่งที่เหมาะกับเขา น่าจะเป็น กองกลางตัวรับมากกว่า เพราะถ้าเขาพลาดก็ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่  โอต้า ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่แฟนๆ คาดหวังในตัวเขาไม่น้อย ด้วยฟอร์มที่สุดยอดมากตอนที่อยู่กับ บาเลนเซีย ทำให้ แมนซิ ดึงตัวมาเพื่อจะมาขันแนวรับให้แน่นกว่าเดิม แต่พอลงเล่นจริง กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ ถือเป็นบ่อน้ำมันชั้นดี ของทีมคู่แข่งอีกคนหนึ่ง

โอตาแมนดี้  ต่างจาก สโตนส์ คือเขาไม่ใช้เด็กแล้ว และ ไม่ได้มีความกดดันมากนัก สิ่งที่เขาควรจะปรับปรุง ก็คงจะมีแค่เพียง จังหวะในการเล่นของตัวเอง และ ความเข้าใจในเกมเท่านั้น  ทางแก้ที่ดีสำหรับ แมนซิตี้  ในความคิดผม ควรที่จะเปลี่ยนตำแหน่งในการเล่นของเขา และหาคู่ใหม่ให้กับ
จอห์น  สโตนส์ ซะ ถ้าอยากให้ ทีมประสบความสำเร็จ และมี ลุ้นแชมป์ในทุกรายการ

ทีมที่จะประสบความสำเร็จ ต้องเป็นทีมที่แกร่งทั่วแผ่น หลังแน่น  กลางดี หน้าคม  เหมือนกับการเก็บเงิน
เพราะต่อให้ หาเงินได้มากขนาดไหน แต่เก็บไม่อยู่ ก็ไม่มีทางรวยได้อยู่ดี

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13

      
 


วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จิตวิทยา กับ football

      ** คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ฟุตบอลเป็นเกมกีฬาที่มีความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ และเป็นอะไรที่กระชากอารมณ์ได้เป็นอย่างดี.....ถ้าคนที่ชื่นชอบและได้ติดตามดูการแข่งขันเป็นประจำจะรู้เลยว่า เวลาที่ทีมตัวเองเชียร์อยู่เล่นไม่ได้อย่างใจ....จะตะโกนด่าจนคอแหบคอแห้ง และ แทบจะกระโดดเข้าไปในทีวีเลยที่เดียว...ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม ฟุตบอล จึงเป็นเกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และได้กระจายไปทั่วโลก.....

         แต่เรื่องที่เราจะมาพูดคุยกันในบทความนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ จิตวิทยา กับ ฟุตบอล ซึ่งมีความ........
เกี่ยวข้องกันแบบไม่น่าเชื่อ จิตวิทยา นั้นมีผลอย่างไร กับการเล่นฟุตบอล ถ้าลองสังเกตุจากทีมที่ประสบความสำเร็จ ในโลกฟุตบอลปัจจุบัน อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูในเต็ด หรือ รีล มาดริด จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่คุณภาพของนักเตะ อย่างเดียวที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ หรือ เป็นแชมป์ได้ ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามารวมกัน

         ผู้จัดการทีม ถือเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะกำหนดทิศทางของทีมว่าจะให้ทีมไปไกลถึงขนาดไหน ถ้าจะพูดกันถึงเรื่อง แผนการเล่น แทคติก หรือ การฝึกซ้อม การแก้เกม ผู้จัดการทีมชั้นนำหลายคน คงจะมีไม่ต่างกัน  แต่ปัจจัยที่สำคัญ ที่จะพาทีมไปถึงฝั่งฝันนั้น สิ่งพื้นฐานเหล่านี้คงจะไม่เพียงพอ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า เป็นตัวกำหนดผลการแข่งขัน และความสำเร็จของทีม ก็คือ สภาพจิตใจ ของผู้เล่น ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากเปรียบทีมฟุตบอล เหมือนกับ กองทัพ การลงแข่งขัน คือ การออกรบ กับข้าศึก
หากทหารมีจิตใจที่ห่อเหียวขวัญและกำลังใจไม่ดี.....การที่จะชนะสงครามคงจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถ้ามีจิตใจที่รุกรบ แข็งแกร่ง ต่อให้มีจำนวนไม่มากก็สู้ไม่ถอย ....โอกาสชนะก็ย่อมจะมี  ยกตัวอย่าง ทหารของชาว " สปาร์ตัน"  ที่มีจำนวน แค่ 300 คน แต่สามารถต้านทาน กองทัพของเปอร์เซีย หลายแสนคน  ได้นานถึง 3 วัน ชาวสปาร์ตัน ที่มี กษัตริย์ ลีโอไนดัส เป็นผู้นำ เป็นนักรบที่มีจิตใจที่แข็งแกรงอย่างมาก แม้จะไม่เหลืออาวุธในมือ ก็ยังใช้ทุกส่วนของร่างกายต่อสู้จนตัวตาย.....




         ฟุตบอลก็คงไม่ต่างจากการสู้รบ ต้องมีการวางแผน มีการกระตุ้นจิตใจให้หึกเหิม ก่อนลงทำการแข่งขัน กัปตันทีม ก็เหมือนกับแม่ทัพ นำทหารออกรบ ผู้จัดการทีม ก็เหมือนกับกษัตริย์ ที่ต้องวางแผนและคอยปลุกเร้าจิตใจ อย่างเช่น ท่านเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ที่พาทีม แมนยู ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ใช่แค่เพราะแผนการเล่น เท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่เพราะจิตวิทยา และ การแสดงออกทางร่างกาย สีหน้า และ อารมณ์  ทุกครั้งที่ทีมเสียเปรียบ หรือ ตกเป็นฝ่ายตามหลัง จะเห็นชายผู้นี้ออกมากระตุ้นนักเตะ และ กดดัน กรรมการ ซึ่งหลายนัดทำให้แมนยู พลิกกลับมาชนะได้ ในช่วงท้ายเกม การแสดงออกต่างๆ ที่ข้างสนามมีผลต่อฟอร์มการเล่นของนักเตะ เพราะทุกครั้งที่นักเตะหันมาเจอผู้จัดการทีม...ที่มีอารมณ์ร่วมในเกม...ก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าต้องทำให้ดี มันเป็นพลังที่ส่งให้กับนักเตะอย่างไม่รู้ตัว......ต่างจาก การนั่งกัดเล็บ หรือ นั่งกุมหัว  ซึ่งยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ห่อเหียวใจ ทุกครั้งที่ทีมต้องตกเป็นรองคู่แข่ง จิตใจก็ตกต่ำอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีคนคอยกระตุ้นอีก ก็คงแย่ไปกันใหญ่

       อีกคนหนึ่ง ที่ทำได้ดีในเรื่องของจิตวิทยา ที่ผมอยากจะกล่าวถึง ซึ่งผมมีความชื่นชอบเป็นส่วนตัว ก็คือ JK หรือ เยอร์เก็น คล๊อป ของ เหล่า The Kops  นี่แหละ เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกมาแต่ละครั้งนั้น มีผลต่อจิตใจของนักเตะ อย่างมาก ไม่ว่าทีมจะอยู่ในช่วงที่ทำผลงานได้ดี หรือ ไม่ดี ชายคนนี้ ไม่เคยออกมาตำหนิ นักเตะ ของเขาเลย และ ทุกครั้งที่เกมจบลง เขาจะเข้าไปสวมกอด กับนักเตะของเขาทุกครั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ซึ่งเห็นได้ยากมากจาก ผู้จัดการทีม ดังๆ หลายคน การสนิทสนมกับนักเตะ อย่างเป็นกันเอง ของเขา ทำให้ทีมไม่มีเรื่องขัดแย้งภายใน นักเตะเองก็มีความสามัคคี ทำให้ทีมสปิริตดี  ยกเว้น กับ มามาดู ซาโก้ คนเดียว ซึ่งผมเข้าใจว่า ตัวนักเตะเอง น่าจะล้ำเส้นที่ เขากำหนดไว้...................




      มาถึงตอนนี้ คงจะพอเข้าใจในเรื่องของจิตวิทยา นะครับว่ามีความสำคัญกับฟุตบอลขนาดไหน โยงไปถึงการดำเนินชีวิตของเราเช่นกัน หากวันใดที่เราท้อถอย เราเองก็ไม่อยากจะทำอะไร การที่มีจิตใจที่ดีและแข็งแกร่งจึงเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะทุกการกระทำมันเป็นผลจากความคิดของเราทั้งสิ้น ถ้าเราคิดบวกคิดแต่เรื่องดีๆ ชีวิตของเราก็จะดีไปด้วย แต่ถ้าเราเป็นคนที่คิดแต่เรื่องลบๆ ชีวิตเราก้จะตกต่ำลง เช่นเดียวกับความคิดเรา ผมเชื่อว่าไม่มีอะไร ที่มันยากเกินไป ถ้าเราคิดจะทำ...........

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13 


วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สรุปการซื้อ-ขายนักเตะ พรีเมียร์ลีก เดือน ม.ค.60



        มาดูความเคลื่อนไหว...ของตลาดนักเตะหน้าหนาว...เดือน ม.ค.60ของลีกฟุตบอล..ที่มีคนติดตามมากที่สุดกันครับ...ว่ามีพ่อค้าแข้ง...คนไหนย้ายสังกัดกันบ้าง...แล้วจะมีทีมใดที่เสริมทัพ..กันแบบตรงจุดได้บ้าง...ไปติดตามกันเลย...ครับ




January 2017 transfer window - All the deals

31/01/2017
































ขอบคุณที่ติดตาม..............

 ดูข้อมูลละเอียด ได้ตามลิงค์ www.premierleague.com