วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

ผี...ไร้พ่ายในความหมายของ มูรินโญ่

      ปีศาจแดง ทำสถิติ ไม่แพ้ใครในลีก 24 นัดติดต่อกัน ถือเป็นอันดับ 1 ใน ฟุตบอลลีกระดับต้นๆของ ยุโรป การไม่แพ้ใครในครั้งนี้ ทำให้ โซเซ่ มูรินโญ่ ทำสถิติเทียบเท่ากับ ท่าน เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ที่เคยทำไว้ในฤดูกาล 2010-2011 โดยมี สถิติ ชนะ 15 นัด เสมอ 9 นัด ส่วน มูรินโญ่ นั้น มีสถิติ ที่ ชนะ 13 เสมอ 11 นัด อย่างที่เราทราบกันว่า เดอร์ สเปเซียล วัน เป็น ผจก.ทีม ที่เน้นแท็กติก และผลการแข่งขัน เป็นหลัก เขาไม่ใช้โค้ช ที่เน้น ฟุตบอล ที่สวยงาม จากสถิติที่ออกมา เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี การเสมอ 11 นัด ถ้ามองในแง่ดี ก็ยังถือว่า มีแต้มติดมือทุกนัด แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนจากผลเสมอ 2 นัด เป็นชัยชนะ เท่ากับท่าน เซอร์  ที่ 15 นัด ยูไนเต็ด จะมีแต้มเพิ่มขึ้น 4 แต้ม เป็น 68 แต้ม แซง ลิเวอร์พูล ที่มี 66 แต้มขึ้นไปอยู่ที่ 3  ของตารางคะแนน ได้เรียบร้อย การเล่นเน้นผลการแข่งขัน หรือ บางครั้งเล่นเกมรับ และคอยสวนกลับ ที่เรียกว่า แท็กติก รถบัส ของ มูรินโญ่ นั้น อาจจะทำให้ แฟนบอล ผีแดง หลายคน ไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่


เพราะประเพณีฟุตบอล ของ ทีม ผีแดง คือ การเดินหน้าฆ่าลูกเดียว บุกแหลก เหล่าสาวก เคยเสพติด กับชัยชนะจนชินแล้ว เมื่อมาเจอกับ การทำทีมในแบบ สเปเซียล วัน จึงเกิดอาการรับไม่ได้ กระอักกระอวนใจ เมื่อต้องมานั่งดูเกม ดูได้จากนัดล่าสุด ผมคิดว่าแฟนผีแดง หลายๆคน คงจะเสียวไปตามๆกัน และได้แต่คิดในใจว่าเมื่อไหร่ มันจะหมดเวลาซักที  เพราะ แมนยู ได้แต่ตั้งรับ โดน เรือใบ ยำใหญ่อยู่ข้างเดียว ยิ่ง หัวฟู มาเสียลูกโง่ โดนใบแดงไล่ออกอีก ยิ่งไปกันใหญ่ เลย

จากสถิติที่ผ่านมา การพบกันของ ทั้งสองทีม แห่ง แมนเชสเตอร์ เจอกันเมื่อไหร่ ต้องเลือดสาดเมื่อนั้น นัดที่อยู่ในความทรงจำของผมเลย ก็คือ เกมที่ ยูไนเต็ด เปิดบ้าน เอาชนะ แมน ซิตี้ ไปได้ 4 ต่อ 3 ซึ่งมี ไมเคิล โอเว่น เป็นผู้ยิงประตูชัย ในช่วงทดเจ็บ ให้กับแมนยู ถึงแม้เกมนี้จะมีปมดราม่ามากมาย เรื่องของการทดเวลาบาดเจ็บเกินความจำเป็น ถึง 6 นาที ทั้งที่เกมก็ไม่ได้หยุดนานอะไร แต่ก็เป็นเกมที่สนุก ผลัดกันรุกรับ อยู่ตลอด มันทำให้เกมน่าตื่นเต้น สนุกสนาน เหล่าแฟนบอลที่มาดูก็คุ้มค่าและมีความสุข กับเกมการแข็งขัน

ผมเองเชื่อว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ ทีม ปีศาจแดง เป็นที่นิยม และ มีแฟนบอล มากมาย ส่วนใหญ่ มาจากการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เน้นเกมรุกเป็นหลัก และมีความเป็นนักสู้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดแฟนบอลหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย แต่ในระยะหลัง แนวทางของ แมนยู เริ่มเปลี่ยนไป ตั้งแต่ ท่าน เซอร์ เดินลงจากเก้าอี้ ไป แมนยู ก็ยังไม่สามารถ กลับมายืนที่จุดเดิมได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ผจก. ทีมคนไหน
ยิ่งได้ ผจก.ทีม ที่ชื่อ มูรินโญ่ ด้วยแล้ว ดูเหมือน ฟุตบอล จะเป็นในเชิงพานิชย์ เสียมากกว่า เป็นเกม กีฬาที่แท้จริง วัฒนธรรม ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในมือ ของ โฆ่เซ่ มูรินโญ่  จะไปในทิศทางไหน และจะเป็นยังไงต่อไป ยังเป็นสิ่งที่น่าคิด หากสิ่งที่เหล่าแฟนๆ คาดหวังคือความสำเร็จ ที่ปราศจากจิตวิญญาณ เดอร์ สเปเซียล วัน คงทำให้ผีแดงได้ไม่ยาก แต่ถ้าต้องการ วัฒนธรรม และ ตัวตนที่แท้จริง กลับคืนมา คงต้องภาวนาให้ มูรินโญ่ เปลี่ยนสไตล์การทำงาน เสียก่อน ซึ่งมันก็คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13  

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

M กับ R ใครมาก่อน?

      คงจะมีคนสงสัย นะครับว่า M กับ R คืออะไร? แต่ถ้าผมจะถามว่า หากนึกนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในยุคนี้ เป็นใคร? หลายท่านคงจะร้อง อ๋อ! เพราะคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สองคนนี้ คือ  Messi และ Ronaldo  ซึ่งก็มีคนตั้งคำถามมากมาย ว่าตกลงแล้ว สองคนนี้ ใครเก่งกว่ากัน ซึ่งผมเองก็ตอบไม่ได้ อันนี้แล้วแต่คนจะคิดกัน แต่ถ้าหากพูดถึงความสำเร็จและรางวัลต่างๆ ที่ทั้งสองคนได้รับ ก็คงจะไปทางฝั่งของ CR7  มากกว่า สิ่งที่ทำให้ เจต โด้ เหนือกว่า แมสซี่ คือ ความสำเร็จกับทีมชาติ ซึ่ง แมสซี่เองไม่เคยได้รับ เลย จาก รายการใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก หรือ โคปา อเมริกา จุดนี้ทำให้ แมสซี่ ดูจะด้อย กว่า โรนัลโด้ แต่ถ้าหากเราจะวัดกันในเรื่องความสามารถ ในเชิงฟุตบอล แล้ว จากประสบการณ์ที่ ตัวผมเองได้ติดตามดูฟุตบอลมาพอสมควร คิดว่า แมสซี่ ดูจะมี ภาษี ดีกว่า โรนัลโด้ อยู่ไม่น้อย อะไรที่ทำให้ผมคิดแบบนั้น ลองมาดูกันครับ


1.บทบาทในสนาม

แมสซี่ : ควบคุม บัญชาการ และ กำหนด ทิศทางของเกม สร้างสรรค์โอกาสการทำประตู ดูได้จากการ จ่ายให้เพื่อนทำประตู (Assist) เป็น ศูนย์กลางของเกมโดยรวม

โรนัลโด้ : คอยจังหวะ และ โอกาสที่เหมาะสม หาจังหวะเข้าทำประตู เป็น ศูนย์กลางการจบสกอร์

2.วิธีการเล่น

แมสซี่ : ใช้สมองในการเล่น ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ไม่ใช้แรงเลยนะครับ ใช้แรงเหมือนกันแต่ จะใช้แรงแบบฉลาดใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นตัวทำเกม และ สร้างโอกาสให้เพื่อน มากกว่า

โรนัลโด้ : ใช้พลังกำลัง และ ความแข็งแกร่งของร่างกาย รวมถึง เทคนิคที่มี ในการเล่น ก็ไม่ได้หมายถึงไม่ได้ใช้สมองเลยนะครับ แต่ใช้สมองในการคอยหาจังหวะในการเล่นมากกว่า ไม่ต้องคอยทำเกม มีเพื่อนคอยปั้นเกมให้

ทั้ง 2 ข้อที่ผมนำมานี้ คิดว่าน่าจะเป็นวิธีการที่พอจะวัดผลความเก่งกาจของทั้งสองคน ได้ตามทัศนะของผมเอง สังเกตุได้จากในเกม เอล กาสิโก้ ที่พึ่งจะผ่านมาสดๆร้อนๆ บาร์ซ่า เปิดบ้านเอาชนะ รีล มาดริด ได้ ด้วยผลการแข่งขัน 3 ประตู ต่อ 2 นัดนี้ถ้าหากใครได้ดู จะเห็นว่า แมสซี่ เล่นได้โดดเด่นมาก และ โดนไล่เตะทั้งเกม เขาคนเดียวสามารถ เปลี่ยนให้นักเตะ ระดับโลกของ รีล มาดริด กลายเป็น นักเตะ กากๆ ได้ในพริบตา ถ้าไม่เชื่อผม ก็ลองไปถาม เซอร์จิโอ รามอส ดู เขาน่าจะรู้ดีที่สุด แดนกลางของ มาดริด ไม่สามารถหยุดหยั้ง การเล่นของแมสซี่ ได้เลย โครส ,คาเซมิโล่, โควาซิค รวมไปถึง มาเซโล่ ไล่เตะไล่ต้อนทั้งเกม ไม่รู้ว่าเล่นฟุตบอล หรือเล่นมวยปล้ำ กันแน่ งานนี้ทำเอา แมสซี่ สบักสบอม อ่วมอรทัย จนเลือดตกยางออกกันเลยที่เดียว เมื่อแดนกลางไม่สามารถทำได้ เดือดร้อนถึง รามอส ซึ่งเป็น กลองหลังกัปตันทีม ต้องออกแรง มาช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าช่วยแบบไหน ถึงโดนใบแดง ไล่ออกจากสนาม



ถ้าหากลองย้อนไปดู จังหวะการเสียบสกัดของ รามอส เป็นการเข้าสกัดที่อันตรายมากๆ เรียกว่าตั้งใจที่จะเล่นที่คน มากกว่าเล่นที่บอล ถ้าหาก แมสซี่ ไม่มีปฏิกริยาที่เร็วพอ ป่านนี้คงต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลไปแล้ว มาพูดถึง เจตโด้ กันบ้าง เกมนี้ เงียบอย่างกับเป่าสาก ไม่สามารถทำอะไรได้เลย สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว คือ คอยโวยวาย เพื่อนร่วมทีม เท่านั้น กล้องถ่ายทอดก็พยายามจะจับภาพของทั้งสองคน เมื่อไหร่ที่ แมสซี่ ทำเกม หรือ ทำประตู ได้ จะเล่นสีหน้าของ โรนัลโด้ ที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ผมว่าเกมนี้เป็นตัวชี้วัด ได้อย่างดี ว่า นักเตะ เบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน คือ ใคร ยังไงซะ M ก็ย่อมมาก่อน R จริงมั้ยครับ.............


ตามความคิดผม ยกให้  Leonel Messi  มาเป็นที่ 1 ส่วน Cristaino Ronaldo คือ เบอร์ 2 แล้วเพื่อนๆ ละครับ  คิดยังไง?

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13


สาลิกา...ถลาลม

      บทสรุปของ ฟุตบอลลีก เดอร์แชมป์เปี้ยนชิพ ของอังกฤษ คงได้ ทีมที่จะขึ้นชั้นมาเล่น     พรีเมียร์ลีกใน ฤดูกาล 2017-2018 แบบอัตโนมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ก็คือ ไบร์ทตัน กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด หลักจากที่ทีม สาลิกาดง นิวคาสเซิล สามารถเอาชนะ เพรสตัน ไปได้ด้วยผล 4 ประตูต่อ 1 ทำให้ ทีม สาลิกาดง คว้าตั๋วใบที่สองได้สำเร็จ จากผลงาน  แข่ง 44 นัด มีอยู่ 88 แต้ม ทิ้งห่าง ทีม เรดดิ้ง ที่ตามมาในอันดับ 3 อยู่ 9 แต้ม โดย เรดดิ้ง แข่ง 44 นัด มี 79 แต้ม ซื่งเหลือการแข่งขัน เพียง 2 นัด    ยังไงก็ตามไม่ทัน คงต้องไปรอลุ้นในการเล่น เพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นเอา


     ทีมจากแดนอีสาน ถือว่าเป็นทีมใหญ่ ทีมหนึ่งของ เกาะอังกฤษ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลง หลายอย่างทำให้เกิดปัญหาภายใน อยู่ตลอดเวลา ส่งผลทำให้ ผลงานที่ออกมาไม่ค่อยดี ต้องลุ้นหนีการตกชั้นอยู่ทุกปี จนในฤดูกาลที่แล้ว ช่วงท้ายฤดูกาล นิวคาสเซิล ได้นำ ผจก.ทีมมือดี จากพระนคร อย่าง        เอล ราฟา ราฟาเอล เบนิเตช ผจก.ทีม มากประสบการณ์ เข้ามาเพื่อหวังจะกอบกู้ (อธิปไตย 555 ไปกันใหญ่ละ)  ของทีมขึ้นมาเพื่อไม่ให้ตกชั้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่รอด ต้องลงไปเล่นใน ลีก เดอร์แชมป์เปี้ยนชิพ ลีกระดับรองของ เกาะอังกฤษ อยู่ดี อย่างที่เราทราบกัน ปัญหาของ นิวคาสเซิล นั้น เป็นปัญหาภายในที่สั่งสมมาตั้งนานแล้ว ปัญหาด้านการเงิน การเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ทำให้ ทีม สาลิกา ต้องเปลี่ยน ผจก.ทีมอยู่บ่อย การทำงานในทีม จึงไม่มีความต่อเนื่อง ทำให้ทีมขาดความสม่ำเสมอ ไม่ลงตัว

    จากการตกชั้นครั้งนี้ ทำให้ นิวคาสเซิล จำเป็นต้องปล่อย นักเตะตัวหลักดีๆ ไปหลาย คน เช่น  แยนมัตให้   วัตฟอร์ต  ไวนัลดุม ให้ ลิเวอร์พูล และ ซิสโซโก้ ให้ สเปอร์  เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และ นำเงินเข้าสโมสร บ้าง  ผจก.ทีม อย่าง ราฟา ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อทำให้ สาลิกา ตัวนี้ขึ้นมาโบยบินอีกครั้ง ในลีกสูงสุด การแข่งขันในลีก ระดับรอง นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิดไว้เลย เพราะ มีทีมที่ร่วมแข่งขันกัน ถึง 24 ทีม ต้องแข่งขันมากถึง 46 นัด ต่อ 1 ฤดูกาล ซึ่งถ้าคุณไม่เจ๋งจริง ไม่มีทางที่จะรักษาอันดับในตารางคะแนนไว้ได้เลย หลายคนอาจจะคิดอยู่ในใจครับว่า ยังไง นิวคาสเซิล ก็เป็นทีมใหญ่ คงจะกลับขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่อย่าลืมนะครับว่า หลายๆทีมที่เคยเป็นทีมใหญ่ มาก่อน อย่าง  ลีด ยูไนเต็ด ,แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ที่เคยเป็นถึงแชมป์พรีเมียลีก พอลงไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถกลับมาขึ้นมาได้เลย ทีมที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่น พรีเมียร์ลีก ในแต่ละปี กลับเป็นทีมที่เรา ไม่รู้จัก และ ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่าง บอร์นมัธ และ ปีนี้ ก็คือ ไบรท์ตัน ที่ตีตั๋วใบแรก ได้สำเร็จ การกลับขึ้นมานั้นจึงไม่ใช้เรื่องง่ายเลย


   การได้ ราฟา เบนิเตช เข้ามารับงาน แบบยาวๆ ทำให้ทีม สาลิกา มีเสถียรภาพมากขึ้น ด้วยระบบ แผนการเล่น 4-2-3-1 และ ระบบ หมุนเวียน นักเตะ (Rotation) ของ ราฟา สามารถรักษาผลงานได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมีนักเตะ แกนหลัก ที่ราฟาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนเกม อย่าง อโยเซ่ เปเรช ,จอนโจ้ เซลวี่,     ดไวท์ เกล ,มิโตวิช และ แจ็ค คอร์แบล็ค ซึ่งนักเตะเหล่านี้ เป็นกลุ่มนักเตะที่มีประสบการณ์อยู่แล้วในฟุตบอลระดับสูง ทำให้การเล่นในลีกระดับรอง ไม่เป็นปัญหามากนัก ผนวกกับการได้รับการสนับสนุนที่ดีจากแฟนบอล ทูน อาร์มี่ อย่างเหนียวแน่น  ผลงานของทีมโดยรวมจึงทำได้ดี และประสบความสำเร็จในที่สุด


การกลับมาของ ทีม สาลิกาดง ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกลับมา ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นนักเตะหน้าเดิมๆ แต่ถูกเพิ่มเติมด้วยความคิด และ ประสบการณ์ใหม่ๆ เข้าไป จาก ผจก.ทีม ที่ถือว่าเป็น ผจก.ชั้นนำ คนหนึ่งของวงการฟุตบอล อย่าง เอล ราฟ จึงทำให้ "สาลิกาดง ตัวนี้ได้กลับมา        ถลาลม" โบยบิน อยู่ใน พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้ง อย่างน่าภาคภูมิใจ ยังไงซะ ก็คงต้องตามลุ้นตามเชียร์กันต่อไปว่า ทีมสาลิกา นิวคาสเซิล จะทำผลงานได้ดีมากน้อยขนาดไหน ในการกลับมาครั้งนี้

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13






วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

แชมป์ที่...ผี...คู่ควร

       สวัสดีครับท่านผู้รักการอ่าน..และชื่นชอบฟุตบอลทุกคน กว่าที่ผมจะได้ฤกษ์เขียนบทความนี้ ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร เป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงเทศกาล สงกรานต์ ชีวิตก็เลยค่อนข้างยุ่งเหยิง บวกกับผมกำลังเริ่มต้น ทำธุรกิจ เกี่ยวกับเสื้อผ้าเด็ก ก็เลยไม่ค่อยมีไอเดียเกี่ยวกับการเขียนบทความสักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ไปโฟกัสที่ตัวธุรกิจ เลยต้องพักเรื่องที่ตัวเองรักไว้ก่อน เพื่อความอยู่รอด ของชีวิต555 วันนี้ถือเป็น โอกาสอันดี ที่จะได้บรรเลงเพลงคีร์บอร์ด ร่ายมนต์เขียนบทความสักที

 อย่างที่ผมตั้งชื่อเรื่องไว้ "แชมป์...ที่..ผี..คู่ควร"
 ถ้าเราจะพูดถึง ทีมปีศาจแดง ในตอนนี้ ก็คงต้องบอกว่า ทีมกำลังอยู่ในช่วงของความเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ นับตั้งแต่ ท่าน เซอร์ สละอำนาจ ลงจากเก้าอี้ไป ทีมผีแดง แห่ง แมนเชสเตอร์ ก็ยังทำอะไรได้ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เริ่มจาก ผู้สืบทอด อำนาจ อย่าง ET เดวิด มอย มา ลูกหม้อทำการแทน อย่าง กิ๊ก   มา ท่าน หลุยส์ จนที่สุดมาถึงมือของ มูรินโญ่ ในปัจจุบัน ฤดูกาลนี้ ถือว่า ผีแดง ทำผลงานได้ดีกว่าทุกฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยความเชี่ยวชาญ เรื่องแท็กติก และ การจัดตัว ผู้เล่น ของ มูรินโญ่  ทำให้ทีมมีความสมดุล ทั้งเกมรุก และ รับ


คนที่โดดเด่นในเกมรับมาก คือ เอริค ไบยี่ ที่เล่นได้แข่งแกร่ง อ่านเกมดี ตัดบอล จังหวะสำคัญๆ ได้ตลอด อีก 1 คนที่ต้องกล่าวถึง อังเดร เอเรร่า เขาเป็นผู้เล่นที่เรียกว่าปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง การจ่ายบอล การตัดเกม ทำได้ดีมาก และยังสามารถสอดขึ้นไปทำประตูได้อีกด้วย ฟอร์มของ เอเรร่า มีส่วนทำให้ แมนยู ทำผลงานได้ดีในช่วงหลัง โดยไม่แพ้ใครในลีก มา 13 เกมแล้ว



มาพูดถึงความสำเร็จ ของ ทีม ผีแดง ในฤดูกาลนี้
กันบ้าง  ทีมของ มูรินโญ่ สามารถ เก็บถ้วยรางวัลเข้าตู้โชว์ ได้แล้ว 1 ใบ คือ ถ้วย ลีก คัพ หรือ     "คาราบาว ลีก คัพ" ในปีหน้า หรือถ้วยมิกกี้เมาท์ ที่หลายๆคนชอบล้อกันนั้นเอง ถึงจะเป็นถ้วยเล็กๆ แต่ก็เป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ของทีมปีศาจแดง ยุคใหม่ และ ถือเป็นใบเบิกทางในความสำเร็จต่อๆไปที่กำลังจะมาถึง

หากจะคิดถึงแชมป์ลีก ภายในประเทศ คงยังเป็นเรื่องที่ดูจะไกลออกไปซะหน่อย เพราะคู่แข่งแต่ละทีมนั้น มีศักยภาพที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แต่ถ้าเราพูดถึงความสำเร็จ ในถ้วยยุโรป ทีมผีแดง ได้ขยับเข้าใกล้มากแล้ว เส้นทางสายนี้ ดูจะสดใสเหลือเกิน เพราะดูจากคู่แข่งที่เหลือ แล้ว ยูไนเต็ด ดูมีภาษี ดีกว่าทุกทีม

สรุป 4 ทีมสุดท้ายของศึกยูโรป้าลีก 


เต็ง 1 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อังกฤษ) 
เต้ง 2 : โอลิมปิก ลียง (ฝรั่งเศส) 
เต็ง 3 : เซลตา บีโก (สเปน) 
เต็ง 4 : อาแจ๊ก (เนเธอร์แลนด์)

ทางเส้นนี้ดูเหมือนจะเป็นทางลัด ที่ง่ายกว่าสำหรับ ทีมผีแดง ที่จะกลับเข้าไปสู่ ฟุตบอลยุโรป 
ถ้วย หูใหญ่ ดีกว่าที่จะต้องไป บุกป่าฝ่าดง กับบรรดาทีมใน พรีเมียร์ลีก ทั้งทีมหนีตาย และ ทีมลุ้นแชมป์     ซึ่งแมนยู ยังจะต้องมีเกมการแข่งขัน อีก  6 เกม ที่เหลือ การพุ่งเป้าหมาย ไปที่ ถ้วย ยูโรป้า ลีก จึงเป็นสิ่งที่ ยูไนเต็ด ควรทำเป็น อันดับแรก ซึ่งปัจจัยต่างๆ กำลังเอนเข้าหา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเป็นใจ 3 นัด แห่งความสำเร็จ กับ 6 นัด ที่ยาวไกล 
การเป็นแชมป์ ยูโรป้า ลีก คือ สิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  "นั้นคู่ควร มากที่สุด" 
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13