วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สโมสร กับ ทีมชาติ ความยาก อยู่ที่ไหน

       28 มิ.ย.60 นับถอยหลังอีก 2 วัน ตลาดซื้อขายนักเตะ ก็จะเปิดอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ ช่วงนี้หลายๆทีมก็กำลังขมักขเม่น ในการเสริมทัพ ของทีมตัวเอง ให้พร้อมต่อสู่ ในการแข่งขันที่ยาวนานในปีฤดูกาลหน้า บางทีมก็ได้นักเตะใหม่เข้ามาบ้างแล้ว บางทีม ก้ตัวผู้จัดการทีมใหม่ ในบรรดาลีกต่างๆในทวีปยุโรป ลีกที่น่าสนใจและเนื้อหอมที่สุด ก็คงจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้งนักเตะ และ ผจก.ทีม ต่าง พร้อมใจกันอยากมาหาความท้าทายในลีกแห่งนี้ ทุกคน เรียกได้ว่า พรีเมียร์ลีก ได้กลายเป็นศูนย์ ของ นักเตะ และ ผจก.ทีม ระดับโลกไปแล้ว ผจก.ระดับโลก มากมายหลายคนเคยทำงานใน พรีเมียร์ลีก


       ปัจจุบัน นี้ ผจก.ทีม ระดับโลก รุ่นใหม่ๆ ก็อยู่กันครับ เป้ป กวาดิโอล่า  ,มูรินโญ่ ,เยอร์เก้น คล๊อป ,
อันโตนิโอ คอนเต้ ล่าสุด ก็ แฟรงค์ เดอบัว ที่ถือว่าเป็น ผจก.ทีม รุ่นใหม่ ไฟแรงอีกคน ที่ตกลง รับงาน กับ คริสตัล พาเลช  เป็นที่เรียบร้อย โดยเซ็นสัญญา 3 ปี และเชื่อว่ายังมีอีกหลายคน ที่พร้อมจะเข้ามาหาความท้าทายในลีก แห่งนี้

       จากทิศทางของตลาดนักเตะที่ได้ติดตามมา คาดการณ์ว่า ตลาดซื้อขายปีนี้ คงจะมีการสร้างสถิติใหม่เกิดขึ้น อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นนักเตะคนไหนนั้นต้องคอยติดตามกัน ตัวเก็ง ที่จะสร้างสถิติใหม่นั้น มีอยู่ 4 คน ด้วยกัน 1.คิเลี่ยน เอ็มปับเป้ เจ้าหนูวัย 18 ปี จาก โมนาโค 2.เอเดน อาร์ซาร์  จากค่ายสิงห์ น้ำเงิน 3.แฮรี่ เคน จาก คลับ ไก่ และ สุดท้าย 4.เปาโล ดิบาล่า จาก ม้าลาย จากรายชื่อแล้วแต่ละคน ดีกรีไม่ธรรมดา จริงๆ แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอยู่กับว่าจะมีทีมไหน บ้าเลือด ควักกระเป๋าจ่าย เพื่อนักเตะคนเดียว อย่างที่ ยูไนเต็ด ยอมจ่าย 89 ล้านปอนด์ กับ เจ้า หมาบ้า(ดร็อกบา)  รึเปล่า 5555 อันนี้ล้อเล่น

        มาดูทางฝั่งบ้านเรากันบ้าง ในเลกที่ 2 ก็เริ่มที่จะเสริมทัพกันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ฮืออาและเป็นข่าวดังในช่วงนี้ ก็คือ การกลับมารับงานคุมทีม ของ โค้ช ซิโก้ เกรียติศักดิ์ กับทีม การท่าเรือ โดยมี เจ๊ แป้ง เป็นหัวเรือใหญ่อยู่ การกลับมาคราวนี้ เป็นการหวนกลับมาคุมทีมระดับสโมสร อีกครั้ง ของ โค้ช ซิโก้ ซึ่งก่อนจะมาคุมทีมชาติ ซิโก้ เคยคุมทีม สโมสร  BBCU มาก่อน แต่การคุมทีมคราวนั้น เรียกได้ว่า ผลงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะทรัพยากร ในทีม หลายอย่าง ที่ไม่พร้อม การกลับมาคุมทีมการท่าเรือ ครั้งนี้ คงจะเป็นบทพิสูจน์ ฝีมือของ โค้ช ซิโก้ อย่างแท้จริง เพราะไม่ว่า จะเป็นเรื่องของ งบประมาณ สภาพความพร้อมของทีม ที่มีให้ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์ แถมยังมี มาดามแป้ง หนุนหลังอย่างเต็มที่อีก ถ้าหากล้มเหลว ก็คงจะโทษอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากตัวเอง
     
      ตามชื่อเรื่องของเราในวันนี้ เราจะลองแสดงความคิดเห็นกันว่า ระหว่าง การคุม ทีม "สโมสร กับ ทีมชาติ แบบไหน ยาก กว่ากัน" และ มีข้อแตกต่างกันยังไง ผมขอแยกออกเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

#การบริหารจัดการ

สโมสร : บริหารจัดการได้ง่ายกว่า เพราะมีกลุ่มผู้บริหารที่ไม่มาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สามารถคุยกันได้ง่าย ตัดสินใจได้เลย

ทีมชาติ : มีการบริหารจัดการที่เป็นขั้นตอนมากกว่า หลายขั้นตอน หลายระดับ การทำงานในทีมต้องขั้นอยู่ ตัวผู้บริหารสมาคม

#การคัดเลือกนักเตะ

สโมสร : การคัดเลือกนักเตะ เรื่องนี้คงจะเป็นข้อด้อยของแต่ละสโมสร เพราะต้องขึ้นอยู่กับ งบประมาณภายใน อาจจะมีทรัพยากรนักเตะให้เลือกใช้อย่างจำกัด ปัจจัยนี้ คือ ตัวชี้วัดความสามารถของโค้ชได้เป็นอย่างดี ในการจัดการระบบทีม การบริหารนักเตะ และ การดึงศักยภาพนักเตะให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด

ทีมชาติ : ไม่มีปัญหาเรื่องตัวผู้เล่น สามารถเลือกได้อย่างเต็มที่ ตามสไตล์การทำทีมของ โค้ชแต่ละคน

 #ระบบทีม แท็กติก

สโมสร : ต้องมีระบบการเล่น และแท็กติกที่ชัดเจน กำหนดแนวทางของทีมได้ ว่าจะให้เป็นแบบไหน สไตล์ไหน ที่จะนำมาใส่ให้กับทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาพอสมควร ในการสร้างทีม ตามแนวทางของตัวเอง ซึ่งถือเป็นงานที่ยากพอสมควร สำหรับทีมระดับสโมสร การที่ต้องใช้เวลาแข็งขันกันเป็นเวลานานหากไม่มีระบบทีมที่ดีแล้วยากที่จะประสบความสำเร็จ เราจะเห็นว่า หลายสโมสรที่เปลี่ยนโค้ชบ่อยๆ มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก นอกจาก ทีมนั้นจะเป็นทีมที่ใหญ่ และ รวยจริงๆ เท่านั้น เพราะการใช้เงินซื้อความสำเร็จ ต้องลงทุนสูงมากจริงๆ

ทีมชาติ : เนื่องจากทีมชาติ คือ ฟุตบอล ที่แข่งขันกันเป็นระยะเวลาสั้น การจัดการระบบทีม อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตาม คู่แข่ง ตาม ทัวนาเมนต์ นั้นๆ ผจก.จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่ เก่งทางด้าน   แท็กติก เป็นอย่างมาก ถึงจะทำทีมให้ประสบความสำเร็จได้

#สรุปในความคิดผม 

คิดว่า การคุมทีม ทั้งสองแบบ มีความยากที่ต่างกัน และ ต้องการ โค้ชที่มีความสามารถ ที่แตกต่างกันออกไปด้วย จากที่สังเกตุมา จะเห็นว่า มี ผจก.ทีม ระดับโลก ที่ประสบความสำเร็จกับทีม ระดับสโมสรแต่ล้มเหลวในการคุมทีมชาติ และ ก็มี ผจก.ทีมอีกไม่น้อย ที่ประสบความสำเร็จ กับทีม ชาติ แต่ต้อง มาล้มเหลวกับ ทีมระดับสโมสร อันนี้มันขึ้นอยุ่กับว่า ผจก.ทีม คนนั้น จะเชี่ยวชาญ ในการคุมทีมแบบไหน
การคัดสรร ผู้กุมบังเหียนของทีม คือ สิ่งสำคัญ ที่จะกำหนดว่า ทีมจะประสบความสำเร็จ หรือ ไม่

แล้วเพื่อนละ คิดยังไง...................................
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer13

     

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ตลาดนักเตะ.........

         สวัสดีครับ...คอบอลทุกท่าน ช่วงนี้เชื่อว่าหลายท่าน คงจะติดตามข่าวสาร การซื้อขาย ย้ายสโมสร ของบรรดานักเตะ ขวัญใจ และคงจะคอยลุ้นกันว่า ทีมรักจะได้ใครเข้ามาเสริมบ้าง
         ณ วันที่ เขียนบทความนี้ 22 มิ.ย.60 ตลาดนักเตะ ก็ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายทีมที่ได้เซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ๆกันไปบ้างแล้ว  โดยนักเตะที่เซ็นไว้ล่วงหน้า ก็จะสามารถย้ายสังกัดได้อย่างสมบูรณ์ ในวันที่ 1 ก.ค.60 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดซื้อ-ขายนักเตะอย่างเปิดอย่างเป็นทางการ


         อย่างที่เราทราบกันว่า ทุกวันนี้ กีฬาฟุตบอล ถือเป็น ธุรกิจมากว่าในยุคก่อนๆ ซึ่งมูลค่าทางการตลาดของแต่ละสโมสร ที่มีชื่อเสียงนั้น มหาศาล ทั้งในเรื่องของ สินค้า ทั้งในเรื่องของ แบรนด์ ทีมที่มีมูลค่ามากๆ ในปัจจุบัน ก็ได้แก่ รีล มาดริด,แมน ยูไนเต็ด ,บาร์เยิร์น มิวนิค ซึ่งทีมเหล่านี้ ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่ สโมสรฟุตบอลธรรมดาๆ แต่ทีม เหล่านี้ ได้กลายเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปแล้ว ซึ่ง สามารถมีรายได้และทำกำไร ที่มากกว่าธุรกิจบางอย่างด้วยซ้ำไป  ปัจจุบันเราจึงเห็นนักธุรกิจมากหน้าหลายตา จากหลายทวีป กระโดดเข้ามาร่วมวง แย่งส่วนแบ่งกันมากมาย มีทั้งที่มาเพื่อหวังผลทางธุรกิจอย่างเดียว และ มาเพราะมีใจรักในกีฬาบางส่วน
         ในวงการธุรกิจ เราจะเห็นว่า มีตลาดมากมายหลายแบบ ทั้ง ตลาดหุ้น ,ตลาดเงิน,ตลาดสินค้าต่างๆ ซึ่งตลาดเหล่านี้ดำเนินไปในทุกวัน และ มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบอยู่ตลอด แต่มีตลาดอยู่ตลาดหนึ่ง ที่ 1 ปี เปิดเพียง 2 ครั้ง แต่การเปิดตลาดในแต่ละครั้งนั้นมีความหมาย เพราะยอดรวมในการซื้อขายในแต่ละครั้ง ไม่ต่ำ 1 หมื่นล้านบาท ทุกท่านอ่านไม่ผิดครับ 1 หมื่นล้านบาท......ตลาดนี้ จะคึกคักเป็นพิเศษในช่วง เดือน มิ.ย.- ก.ค. ของทุกปี และเปิดทำการสั้นๆ เพียง 1 เดือน ตลาดนี้มีชื่อว่า "ตลาดนักเตะ"
         บรรดาพ่อค้าแข้ง จากทั่วทุกสารทิศ จะเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ ปกติเราจะเห็น พ่อค้า เป็นคนที่ทำการซื้อ-ขายสินค้าใช่มั้ยครับ แต่ตลาดนี้แปลกมาก  ตัวพ่อค้าเอง คือคนที่ถูกซื้อหรือขายซะเอง
ยิ่งพ่อค้า คนไหนที่มีความเก่งกาจสามารถ มีลีลาแพรวพราว จะได้รับการประเมินราคาสูงเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าอยู่ในความสนใจ ของหลายๆ สโมสร ราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนบางที่ดูจะเกินจริงไปซะหน่อย
          ปัจจุบัน การเจรจา ซื้อ-ขาย นักเตะ จะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะแต่ละสโมสรต่างเล่นแง่ โก่งราคา ให้ได้มากที่สุด ยื้อกันไปมา จนบางที่ คนที่รอเสพข่าวอย่างเราๆท่านๆ เบื่อ จนไม่อยากติดตามข่าว
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นอย่างที่เราเห็นคือ ความต้องการ มีมากกว่า สินค้า เมื่อมีความต้องการมาก สินค้ามีน้อย ราคาก็ย่อมสูง ยิ่งสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคายิ่งสูงขึ้นไปอีก สินค้าดีจึงเป็นของคนที่มีเงิน เรียกว่า ถ้าเงินถึง ของถึงแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีใจรักก็ตาม
         วิธีที่ผมคิดว่า จะสามารถป้องกัน ภาวะเงินเฟ้อในตลาดนักเตะนี้ได้ ก็คือ การกระจายความต้องการ ออกไป สินค้าตัวไหนที่มีคนแย่งซื้อเยอะ เราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ลองมองหา สินค้าที่มีความใกล้เคียง และไม่ค่อยมีใครสนใจมาใช้ดู อาจจะได้ราคาที่ถูกลง และลดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นด้วย เช่น ซื้อมาราคาสูง เกิดความกดดัน เล่นไม่ออก โดนวิจารณ์ สุดท้ายก็เสียนักเตะ ถ้าเป็นนักเตะ ราคาไม่แพง เล่นดีก็ได้รับคำชม เล่นไม่ออก ก็แค่เสมอตัว ไม่เจ็บมาก วิธีการนี้ ยังจะสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมอันบ้าคลั่งของการ ซื้อ-ขาย นักเตะในปัจจุบัน ลงได้บ้าง กว่าจะซื้อนักเตะได้แต่ละคนยากเย็นแสนเข็น โดยเฉพาะทีมที่ไม่ได้ร่ำรวย ทุกวันนี้ กีฬา แข่งขันกันด้วยเงินเป็นส่วนประกอบหลักไปซะแล้ว ส่ิงที่ผมอยากเห็นมาก คือ การกลับมาในแบบเดิมๆ ค่อยๆเริ่ม ค่อยๆสร้างกันไป แบบนี้ เป็นสิ่งที่สวยงาม ยั่งยืน และ จะคงอยู่ตลอดไป
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13