สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมไม่ได้เขียนบทความมาพอสมควร ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ช่วงนี้ห่างหายไป ติดภารกิจหลายๆอย่าง แต่พอมีเวลาก็รีบ เปิดคอม จับแป้นพิมพ์ทันที่ เรื่องแรกที่อยากแบ่งปัน หลังจากพักมานาน เกิดจากความอัดอั้นภายในใจบางอย่าง จะเป็นเรื่องไหนไม่ได้ นอกจากเกม
แดงเดือด ที่ไม่ค่อยเดือดเท่าไหร่
:
ช่วงหลังมานี้หากใครได้ติดตามเกมแดงเดือด ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมน ยู จะเห็นได้ชัดว่า มันไม่ค่อยได้อัธรสในการรับชม เท่าไหร่ มันดูจืดชืดไร้รสชาติความเป็นแดงเดือดยังไงไม่รู้ นั่นเป็นเพราะอะไร
ตามทัศนะของผมคิดว่า สาเหตุที่เกมไม่มันเหมือนที่เราเคยดู นั้นมาจากเหตุผล ดังต่อไปนี้ครับ
:
1.การแข่งขัน เรื่องความสำเร็จ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ไม่ได้มีแค่ Big 4 เหมือนสมัยก่อนที่มีแต่ 4 ทีมที่เบียดลุ้นแชมป์กัน แมน ยู ,อาร์เซนอล ,ลิเวอร์พูล และ เซลซี โค้ชแต่ละคนจึงต้องเน้นผลการแข็งขันกกันมากขึ้น ทุกๆแต้มนั้นมีความหมาย รูปเกมจะเป็นยังไงไม่สำคัญขอให้ได้ผลตามเป้าที่วางไว้ก็พอ
2.การซึมซับในวัฒนธรรมของนักเตะ ไม่ได้เข้มข้นเหมือนสมัยก่อน ที่แต่ละทีมนั้นมีนักเตะลูกหม้อ เป็นเด็ก ท้องถิ่น หรือ รับรู้และเข้าใจ มีอารมณ์ร่วม ในความเป็นอริ อยู่เต็มหัวใจ กิ๊ก สโกลล์ แบ็คแคม เจอร์ราด คาลาเกอร์ นักเตะเหล่านี้ จะเข้าใจในความเป็นอริกันของทั้ง 2 ทีมอย่างลึกซึง จะเห็นได้จากการแสดงมันออกมาในสนาม
3.ปัจจุบันทั้งสองทีม มีนักเตะ ต่างชาติ เข้ามาค้าแข็งจำนวนมาก นักเตะเหล่านี้ อาจไม่ซึมซับในความเป็นอริกันของทั้งสองทีม นักเตะต่างชาติที่เข้ามาค้าแข็งแค่ต้องการรายได้ และความโด่งดัง ไม่ได้ทำเท
เกินร้อยเหมือนนักเตะที่เป็นลูกหม้อ
4.สไตล์การทำทีม ของ ผจก.ทีม มูรินโญ่ คือ ผจก.ทีม ที่เน้นผลการแข่งขันเป็นหลัก ความเชี่ยวชาญเรื่องแท็กติก และวิธีการทำทีมให้เป็นแชมป์ เขาไม่เคยเป็นรองใคร น้ามูไม่ได้สนใจว่า รูปเกมจะออกมาแบบไหน จะเล่นสวยงาม หรือ ห่วยแตก เขาไม่ได้สนใจ ขอเพียงทีมทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ก็พอใจแล้ว
5.สภาพแวดล้อม ไม่เอื้อให้แดงเดือด ข้อ 5 คือการนำปัจจัยทั้งหมดมาสรุปยอด เมื่อรูปเกมไม่มันเน้นรับ ไม่มีนักเตะฮาร์ดแมน กองเชียร์ไม่ได้ช่วยหนุน ความเดือดจึงไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างก็เลยเงียบ
จุดเดือดก็เลยไม่เกิด นี่คือสาเหตุที่ผมคิดว่า เกมแดงเดือด จึงไม่ เดือดเหมือนเคย
แล้วเพื่่อนละครับ คิดว่ายังไง
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560
วิกฤตของ คล๊อป วิกฤตของ หงส์
ผ่านนัดที่ 5 ของฤดูกาลแข่งขัน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-2018 หงส์แดง ลิเวอร์พูลเก็บคะแนนได้ 8 คะแนน ด้วยผลงาน ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1 อยู่ที่อันดับ 8 ของตารางคะแนะ ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ยังมีหลายทีมยังไม่ได้ทำการแข่งขัน
:
ถ้าเราดูจากตารางคะแนน ผลงานของทีมหงส์แดงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ยังมี สเปอร์ และ อาร์เซน่อล 2 ทีมใหญ่ ของกรุงลอนดอน อยู่เป็นเพื่อน ซึ่งผลงานของ สเปอร์ กับ อาร์เซน่อล ในการเริ่มต้นฤดูกาล ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกับทีม หงส์แดง แต่ที่ดูน่าเป็นห่วงสำหรับทีมลิเวอร์พูลของ ผจก.ฮาร์ดคอร์ ชาวเยอรมัน คือ ทิศทางและอนาคตของทีม ซึ่งผลงานใน 3 นัดล่าสุดของ หงส์แดง ไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย
แพ้ แมน ซิตี้ 0-5 ,เสมอ เซบีย่า 2-2 และ เสมอ เบิร์นลี่ 1-1 รวม 3 นัด ลิเวอร์เสียประตู ถึง 8 ลูก ยิงได้แค่ 3 ลูก และประตูที่ได้ส่วนใหญ่ ก็มาจาก มาเน่ และ ซาล่า สองนักเตะที่ดูจะเป็นตัวความหวังของทีมไปซะแล้ว สถิติเหล่านี้มันบ่งบอกอะไร?
:
ขอย้อนกลับไปในช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีมหงส์แดง มีผลงาน ลุ่มๆดอนๆ มาตลอดก็คือ ปัญหาในเกมรับ การป้องกัน ลูกตั้งเตะ และลูกกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ผจก.ทีมคนไหนที่เข้ามารับงาน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้ ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันเป็นปัญหาหลักที่ต้องแก้ไขก็ตาม นับตั้งแต่
ซามี ฮุเปีย อำลาทีมไป ก็ดูเหมือนจะไม่มีนักเตะกองหลังตัวกลางคนไหน จะมาแทนทีได้เลย
:
กลับมาที่ผลงานในนัดล่าสุด ของทีมหงส์แดง ที่เปิดรังแอนฟิวส์ ต้อนรับการมาเยือน ของ เบิร์นลี่ ทีมของแสลงที่ทำให้ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้มาแล้วในฤดูกาลก่อน นัดนี้ Jk หมายมั่นปั้นมือที่จะล้างตาและ เก็บ 3 แต้ม ให้ได้ เพื่อเป็นของขวัญกับแฟนบอล ในการฉลอง 125 ปี ในการก่อตั้งสโมสร ด้วยการส่งผู้เล่นตัวรุก ลงสนามถึง 6 คน กะว่าจะจัดการเบิร์นลี่ ให้กลับบ้านไม่เป็นเลยที่เดียว แต่แล้วเหมือนภาพเก่าเล่าใหม่ ก็กลับมาหลอกหลอนเหล่าเดอะค๊อปอีกครั้ง ภาพความผิดพลาดของกองหลัง ที่แฟนบอลเคยเห็นจนชินตา คือ อาการเสลอเฟอะฟะ ของกองหลัง ที่ JK มั่นใจว่าเขาดีพอสำหรับหงส์แดง ก็เกิดขึ้นอีกครั้งจนได้
การเข้าบอลแบบไม่ระวัง และการเบียดแย่งบอลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่ตัวผู้เล่นได้เปรียบถึง 2 ต่อ1
จนทำให้เสียประตู บ่งบอกว่า ศักยภาพนักเตะกองหลัง ของทีมลิเวอร์พูล ยังไม่ดีพอ ในเวลานี้นักเตะกองหลังที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุดของทีม มีเพียงคนเดียว คือ โจแอล มาติป ส่วนที่เหลือฝากผีฝากไข้ไม่ได้เลย
:
ในการให้สัมภาษณ์ของ เจอร์เกน คล็อป หลังจากเกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เซบีย่า ใน UCL 2-2 ทั้งที่สามารถทำประตูขึ้นนำได้ แต่ก็มาเสียประตูเอาช่วงท้ายเกม เขาได้ออกมาปกป้องผู้เล่นในแนวรับ ว่าไม่ใช้ความผิดของพวกเขาคนเดียว แต่การเล่นเกมรับต้องเป็นความรับผิดชอบของผู้เล่นภายในทีมทุกคน
ซึ่งหากดูจากคำที่ให้สัมภาษณ์แล้ว มันก็เป็นจิตวิทยาที่ คล็อปพูดออกมาเพื่อไม่อยากให้นักเตะสูญเสียความมั่นใจ ทั้งที่ตัวเขาเองรู้ดีว่า ทีมกำลังมีปัญหากับตัวผู้เล่นในแนวรับ คล็อป โทษระบบมากกว่าตัวผู้เล่น ซึ่งผมตีความหมายได้ 2 ประเด็น
1.คือปกป้องนักเตะ
2.คือปกป้องตัวเอง
:
วิกฤต ของ คล็อป
การปกป้องนักเตะ เป็นเรื่องที่ ผจก.ทีมที่ดีทุกคนต้องทำอยุ่แล้ว ผมจึงขอยกประเด็นที่ 2 มากล่าวถึงแล้วกัน การปกป้องตัวเองของ คล็อป ส่วนหนึ่งมาจากความล้มเหลวในตลาดซื้อขายนักเตะ ซึ่ง JK ไม่ได้มีแผนสำรองไว้รับมือกับสิ่งไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น เขามั่นใจว่าเขาจะได้นักเตะตามที่เขาต้องการ โดยไม่ได้เผื่อทางเลือกอื่นเอาไว้เลย ความมั่นอกมั่นใจไม่ใช้เรื่องผิด แต่ความมั่นใจ ด้วยความมี EGo สูง เกินไปก็ไม่ใช้เรื่องที่ดี หากเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทีม
:
การดองเค็ม ซาโก้ อาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ซึ่งถ้าเราเป็นเขาก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกันกับนิสัยส่วนตัวของ ซาโก้ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ยังพอยอมรับได้ แต่การที่ไม่มองหาตัวเลือกอื่นทั้งที่ยังพอมีเวลา ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ไม่เข้าท่า เอาเสียเลย สำหรับทีมที่ต้องการลุ้นแชมป์ ตามที่เขาได้ประกาศออกมาว่า ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล จะเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว การไม่มีนักเตะแนวรับเข้ามาเสริมทีมเลยในขณะที่ทีมต้องการ การแก้ปัญหาในเกมรับ มันเป็นเรื่องที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
:
เจอร์เก้น คล็อป คิดว่าเขาสามารถรับมือ กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ด้วยการสร้างเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ โดยที่เขามองว่า ระบบคือตัวขับเคลื่อนเกมในภาพรวมทั้งหมดไม่ใช้การพึ่งพานักเตะ ปรัชญา "เกมรับที่ดีที่สุดคือเกมรุก" คือสิ่งที่ Jk นำมาใช้ แต่เขาคงลืมคิดไปว่า ถ้าเกมรุกทำไม่ได้จะทำอย่างไร ซึ่งความจริงก็เกิดขึ้น กับเกมที่พบกับ เบิร์นลี่
:
ฌอน ไดค์ ได้พิสูจน์ให้ คล็อป เห็นแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องมีเกมรุกที่ดีอะไรมากมาย ขอให้มีเกมรับที่เหนียวแน่น ก็สามารถเก็บแต้มจากทีมลิเวอร์พูลได้ โชคชะตาคือสิ่งที่ JK อ้างมาตลอดว่ามีผลกับทีม
แต่ความจริงคือ โชคชะตาคือส่วนเล็กๆ ของผลกระทบเท่านั้น การบริหารจัดการต่างหากคือปัจจัยหลักของผลงานของทีม ผมไม่เคยสงสัยในความสามารถของ เจอร์เก้น คล็อป เลยแม้แต่น้อย และก็คิดว่าเขาคือคนที่เหมาะสมกับทีมลิเวอร์พูลที่สุดแล้ว แต่เมื่อมองไปที่สีหน้าของเขาตอนที่เล่นกับเบิร์นลี่ แล้วมันกลับบ่งบอกว่า เขา ไม่ใช้ เจอเก้น คล็อป คนเดิมอีกแล้ว ในแววตาที่ดูเลื่อนลอย สิ้นหวัง สีหน้าที่แสดงออกว่า ไม่รู้จำทำยังไง หมดไอเดีย แก้เกมช้า เหมือนสภาพที่ ปู่รอย เคยเป็น มันบ่งบอกว่าเขา กำลังพาตัวเองเขาไปสู่วิกฤต ซึ่งจุดจบอาจจะไม่สวย เหมือนกับ ผจก.ทีมคนที่ผ่านๆมา
:
วิกฤต หงส์แดง
ลิเวอร์พูล คือ ทีมใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เป็นทีมที่ได้รับความนิยม และ มีฐานแฟนบอลมากมายระดับต้นๆของโลก ซึ่งทีมประสบความสำเร็จ ด้วยการคว้าแชมป์ ลีก 18 สมัย และ UCL อีก 5 สมัย มากที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่หลังจากที่ ฟุตบอลลีกอังกฤษ ได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก ทีมลิเวอร์พูลก็ไม่เคยคว้าแชมป์ได้อีกเลย จนทำให้คู่อริตัวฉกาจ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงหน้าเป็นเบอร์หนึ่งของเกาะอังกฤษ ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีมไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อีกเลยนั้นมาจากปัญหาทางการเงิน ที่ลิเวอร์พูลต้องเผชิญมาตลอด ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าทีมจะเล็กลงเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ ปัจจุบัน เป็นยักษ์หลับ ไปแล้ว และยักษ์ตัวนี้ก็ขี้เซา ไม่ยอมตื่นซะด้วย
:
ปัญหาด้านการเงินเป็นปัญหาสำคัญ ที่ส่งผลกระทบในหลายด้านกับสโมสร ทีม ลีด ยูไนเต็ด คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด จากทีมที่เป็นแชมป์ลีกสูงสุด ตกต่ำจนต้องไปเล่นในลีก ระดับ 3 ของอังกฤษ ปัจจุบันก็ยังกลับสู่ลีกสูงสุดไม่ได้ ปัญหาการเงินทำให้ทีมต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปเพื่อนำเงินมาอุ้มสโมสรเอาไว้ ถึงแม้ว่าลิเวอร์พูล จะไม่ถึงกับเจอวิกฤตเหมือนกับ ลีด แต่ลิเวอร์พูล ก็ต้องเสียนักเตะตัวหลัก และผู้เล่นดีๆ มาตลอด ไมเคิล โอเว่น ,สตีฟ แมคมานามาน ,ซาบี อลอนโซ่ ,มาสเคราโน่ ,ตอร์เรส ,หลุยส์ ซัวเรส และ ราฺฮีม สเตอร์ริ่ง ซึ่งนักเตะเหล่านี้หากอยู่กับทีมอย่างต่อเนื่องก้จะสามารถยกระดับทีมขึ้นมาได้เรื่อยๆ การขายออกไปแล้วไม่ได้ผู้เล่นในระดับเดียวกันเข้ามา ทำให้ทีม ขาดความสม่ำเสมอ สิ่งที่เกิดจึงเป็นปัญหาสะสมเรื้อรังมานาน
:
วิกฤตการเงินของ หงส์แดง ที่ดูจะร้ายแรงที่สุด คงเป็นยุคของ 2 ปลิงมะกันเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร ซึ่งทำให้ทีมต้องมีหนีสิ่นจนเกือบจะต้องสูญเสียทีมให้กับ ธนาคารไป แต่ทาง Funway กรุ๊ป ก็มาช่วยสโมสรไว้ได้ทัน จอห์น เฮนรี่ เจ้าของใหม่ เข้ามากอปกู้วิกฤตการเงินของหงส์แดงเอาไว้ได้ และเปลี่ยนจากวิกฤติให้ทีมสามารถพลิกฝื้นกลับมาได้ ด้วยนโยบายและการบริหารที่เป็นมืออาชีพ จนปัจจุบันทีมสามารถขยายสนามให้มีความจุเพิ่มมากขึ้นได้ และปัญหาทางการเงินก็ได้รับการแก้ไขให้หมดไป ถึงแม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแล้ว แต่ก็เหมือนว่าเงามืดที่ปกคลุมสโมสรก็ยังไม่จางไป แนวโน้มที่จะต้องสูญเสียนักเตะเก่งๆ ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา ภัยคุกคามที่มาจากภายนอกสโมสร ส่งแรงกระเพื่อมอย่างแรงมาสู่ทีม สิ่งที่เป็นความต้องการของนักเตะทุกคน คือ การประสบความสำเร็จในอาชีพนักเตะ นั่นคือ การ คว้าแชมป์ใดแชมป์หนึ่งให้ได้ หรือ คว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุด เมื่อนักเตะไม่มั่นใจว่าทีมจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ พวกเขาจึงมองหาโอกาสที่ดีกว่าเสมอ การเสียนักเตะแกนหลักออกไปจึงเริ่มโบกมือทักทายมายังถิ่นแอนฟิวส์อีกครั้ง ภารกิจเร่งด่วนที่สโมสรจะต้องทำให้ได้ คือ การสร้างแรงจูงใจ และความศรัทธา ว่าสโมสรจะไปถึงจุดที่หวังได้ แล้ว นำพาทีมไปยังจุดที่ควรจะเป็น โดยที่ไม่ปล่อยให้ EGO มาทำให้เสียแรงศรัทธา ไม่หยั้งงั้นแล้วทีมก็คงหนีไม่พ้นปัญหาเดิมๆ
#ขอบคุณที่ติดตาม
#YNWA
#Cap.rojer13
:
:
ถ้าเราดูจากตารางคะแนน ผลงานของทีมหงส์แดงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ยังมี สเปอร์ และ อาร์เซน่อล 2 ทีมใหญ่ ของกรุงลอนดอน อยู่เป็นเพื่อน ซึ่งผลงานของ สเปอร์ กับ อาร์เซน่อล ในการเริ่มต้นฤดูกาล ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกับทีม หงส์แดง แต่ที่ดูน่าเป็นห่วงสำหรับทีมลิเวอร์พูลของ ผจก.ฮาร์ดคอร์ ชาวเยอรมัน คือ ทิศทางและอนาคตของทีม ซึ่งผลงานใน 3 นัดล่าสุดของ หงส์แดง ไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย
แพ้ แมน ซิตี้ 0-5 ,เสมอ เซบีย่า 2-2 และ เสมอ เบิร์นลี่ 1-1 รวม 3 นัด ลิเวอร์เสียประตู ถึง 8 ลูก ยิงได้แค่ 3 ลูก และประตูที่ได้ส่วนใหญ่ ก็มาจาก มาเน่ และ ซาล่า สองนักเตะที่ดูจะเป็นตัวความหวังของทีมไปซะแล้ว สถิติเหล่านี้มันบ่งบอกอะไร?
:
ขอย้อนกลับไปในช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีมหงส์แดง มีผลงาน ลุ่มๆดอนๆ มาตลอดก็คือ ปัญหาในเกมรับ การป้องกัน ลูกตั้งเตะ และลูกกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ผจก.ทีมคนไหนที่เข้ามารับงาน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้ ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันเป็นปัญหาหลักที่ต้องแก้ไขก็ตาม นับตั้งแต่
ซามี ฮุเปีย อำลาทีมไป ก็ดูเหมือนจะไม่มีนักเตะกองหลังตัวกลางคนไหน จะมาแทนทีได้เลย
:
กลับมาที่ผลงานในนัดล่าสุด ของทีมหงส์แดง ที่เปิดรังแอนฟิวส์ ต้อนรับการมาเยือน ของ เบิร์นลี่ ทีมของแสลงที่ทำให้ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้มาแล้วในฤดูกาลก่อน นัดนี้ Jk หมายมั่นปั้นมือที่จะล้างตาและ เก็บ 3 แต้ม ให้ได้ เพื่อเป็นของขวัญกับแฟนบอล ในการฉลอง 125 ปี ในการก่อตั้งสโมสร ด้วยการส่งผู้เล่นตัวรุก ลงสนามถึง 6 คน กะว่าจะจัดการเบิร์นลี่ ให้กลับบ้านไม่เป็นเลยที่เดียว แต่แล้วเหมือนภาพเก่าเล่าใหม่ ก็กลับมาหลอกหลอนเหล่าเดอะค๊อปอีกครั้ง ภาพความผิดพลาดของกองหลัง ที่แฟนบอลเคยเห็นจนชินตา คือ อาการเสลอเฟอะฟะ ของกองหลัง ที่ JK มั่นใจว่าเขาดีพอสำหรับหงส์แดง ก็เกิดขึ้นอีกครั้งจนได้
การเข้าบอลแบบไม่ระวัง และการเบียดแย่งบอลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่ตัวผู้เล่นได้เปรียบถึง 2 ต่อ1
จนทำให้เสียประตู บ่งบอกว่า ศักยภาพนักเตะกองหลัง ของทีมลิเวอร์พูล ยังไม่ดีพอ ในเวลานี้นักเตะกองหลังที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุดของทีม มีเพียงคนเดียว คือ โจแอล มาติป ส่วนที่เหลือฝากผีฝากไข้ไม่ได้เลย
:
ในการให้สัมภาษณ์ของ เจอร์เกน คล็อป หลังจากเกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เซบีย่า ใน UCL 2-2 ทั้งที่สามารถทำประตูขึ้นนำได้ แต่ก็มาเสียประตูเอาช่วงท้ายเกม เขาได้ออกมาปกป้องผู้เล่นในแนวรับ ว่าไม่ใช้ความผิดของพวกเขาคนเดียว แต่การเล่นเกมรับต้องเป็นความรับผิดชอบของผู้เล่นภายในทีมทุกคน
ซึ่งหากดูจากคำที่ให้สัมภาษณ์แล้ว มันก็เป็นจิตวิทยาที่ คล็อปพูดออกมาเพื่อไม่อยากให้นักเตะสูญเสียความมั่นใจ ทั้งที่ตัวเขาเองรู้ดีว่า ทีมกำลังมีปัญหากับตัวผู้เล่นในแนวรับ คล็อป โทษระบบมากกว่าตัวผู้เล่น ซึ่งผมตีความหมายได้ 2 ประเด็น
1.คือปกป้องนักเตะ
2.คือปกป้องตัวเอง
:
วิกฤต ของ คล็อป
การปกป้องนักเตะ เป็นเรื่องที่ ผจก.ทีมที่ดีทุกคนต้องทำอยุ่แล้ว ผมจึงขอยกประเด็นที่ 2 มากล่าวถึงแล้วกัน การปกป้องตัวเองของ คล็อป ส่วนหนึ่งมาจากความล้มเหลวในตลาดซื้อขายนักเตะ ซึ่ง JK ไม่ได้มีแผนสำรองไว้รับมือกับสิ่งไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น เขามั่นใจว่าเขาจะได้นักเตะตามที่เขาต้องการ โดยไม่ได้เผื่อทางเลือกอื่นเอาไว้เลย ความมั่นอกมั่นใจไม่ใช้เรื่องผิด แต่ความมั่นใจ ด้วยความมี EGo สูง เกินไปก็ไม่ใช้เรื่องที่ดี หากเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทีม
:
การดองเค็ม ซาโก้ อาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ซึ่งถ้าเราเป็นเขาก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกันกับนิสัยส่วนตัวของ ซาโก้ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ยังพอยอมรับได้ แต่การที่ไม่มองหาตัวเลือกอื่นทั้งที่ยังพอมีเวลา ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ไม่เข้าท่า เอาเสียเลย สำหรับทีมที่ต้องการลุ้นแชมป์ ตามที่เขาได้ประกาศออกมาว่า ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล จะเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว การไม่มีนักเตะแนวรับเข้ามาเสริมทีมเลยในขณะที่ทีมต้องการ การแก้ปัญหาในเกมรับ มันเป็นเรื่องที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
:
เจอร์เก้น คล็อป คิดว่าเขาสามารถรับมือ กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ด้วยการสร้างเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ โดยที่เขามองว่า ระบบคือตัวขับเคลื่อนเกมในภาพรวมทั้งหมดไม่ใช้การพึ่งพานักเตะ ปรัชญา "เกมรับที่ดีที่สุดคือเกมรุก" คือสิ่งที่ Jk นำมาใช้ แต่เขาคงลืมคิดไปว่า ถ้าเกมรุกทำไม่ได้จะทำอย่างไร ซึ่งความจริงก็เกิดขึ้น กับเกมที่พบกับ เบิร์นลี่
:
ฌอน ไดค์ ได้พิสูจน์ให้ คล็อป เห็นแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องมีเกมรุกที่ดีอะไรมากมาย ขอให้มีเกมรับที่เหนียวแน่น ก็สามารถเก็บแต้มจากทีมลิเวอร์พูลได้ โชคชะตาคือสิ่งที่ JK อ้างมาตลอดว่ามีผลกับทีม
แต่ความจริงคือ โชคชะตาคือส่วนเล็กๆ ของผลกระทบเท่านั้น การบริหารจัดการต่างหากคือปัจจัยหลักของผลงานของทีม ผมไม่เคยสงสัยในความสามารถของ เจอร์เก้น คล็อป เลยแม้แต่น้อย และก็คิดว่าเขาคือคนที่เหมาะสมกับทีมลิเวอร์พูลที่สุดแล้ว แต่เมื่อมองไปที่สีหน้าของเขาตอนที่เล่นกับเบิร์นลี่ แล้วมันกลับบ่งบอกว่า เขา ไม่ใช้ เจอเก้น คล็อป คนเดิมอีกแล้ว ในแววตาที่ดูเลื่อนลอย สิ้นหวัง สีหน้าที่แสดงออกว่า ไม่รู้จำทำยังไง หมดไอเดีย แก้เกมช้า เหมือนสภาพที่ ปู่รอย เคยเป็น มันบ่งบอกว่าเขา กำลังพาตัวเองเขาไปสู่วิกฤต ซึ่งจุดจบอาจจะไม่สวย เหมือนกับ ผจก.ทีมคนที่ผ่านๆมา
:
วิกฤต หงส์แดง
ลิเวอร์พูล คือ ทีมใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เป็นทีมที่ได้รับความนิยม และ มีฐานแฟนบอลมากมายระดับต้นๆของโลก ซึ่งทีมประสบความสำเร็จ ด้วยการคว้าแชมป์ ลีก 18 สมัย และ UCL อีก 5 สมัย มากที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่หลังจากที่ ฟุตบอลลีกอังกฤษ ได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก ทีมลิเวอร์พูลก็ไม่เคยคว้าแชมป์ได้อีกเลย จนทำให้คู่อริตัวฉกาจ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงหน้าเป็นเบอร์หนึ่งของเกาะอังกฤษ ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีมไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อีกเลยนั้นมาจากปัญหาทางการเงิน ที่ลิเวอร์พูลต้องเผชิญมาตลอด ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าทีมจะเล็กลงเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ ปัจจุบัน เป็นยักษ์หลับ ไปแล้ว และยักษ์ตัวนี้ก็ขี้เซา ไม่ยอมตื่นซะด้วย
:
ปัญหาด้านการเงินเป็นปัญหาสำคัญ ที่ส่งผลกระทบในหลายด้านกับสโมสร ทีม ลีด ยูไนเต็ด คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด จากทีมที่เป็นแชมป์ลีกสูงสุด ตกต่ำจนต้องไปเล่นในลีก ระดับ 3 ของอังกฤษ ปัจจุบันก็ยังกลับสู่ลีกสูงสุดไม่ได้ ปัญหาการเงินทำให้ทีมต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปเพื่อนำเงินมาอุ้มสโมสรเอาไว้ ถึงแม้ว่าลิเวอร์พูล จะไม่ถึงกับเจอวิกฤตเหมือนกับ ลีด แต่ลิเวอร์พูล ก็ต้องเสียนักเตะตัวหลัก และผู้เล่นดีๆ มาตลอด ไมเคิล โอเว่น ,สตีฟ แมคมานามาน ,ซาบี อลอนโซ่ ,มาสเคราโน่ ,ตอร์เรส ,หลุยส์ ซัวเรส และ ราฺฮีม สเตอร์ริ่ง ซึ่งนักเตะเหล่านี้หากอยู่กับทีมอย่างต่อเนื่องก้จะสามารถยกระดับทีมขึ้นมาได้เรื่อยๆ การขายออกไปแล้วไม่ได้ผู้เล่นในระดับเดียวกันเข้ามา ทำให้ทีม ขาดความสม่ำเสมอ สิ่งที่เกิดจึงเป็นปัญหาสะสมเรื้อรังมานาน
:
วิกฤตการเงินของ หงส์แดง ที่ดูจะร้ายแรงที่สุด คงเป็นยุคของ 2 ปลิงมะกันเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร ซึ่งทำให้ทีมต้องมีหนีสิ่นจนเกือบจะต้องสูญเสียทีมให้กับ ธนาคารไป แต่ทาง Funway กรุ๊ป ก็มาช่วยสโมสรไว้ได้ทัน จอห์น เฮนรี่ เจ้าของใหม่ เข้ามากอปกู้วิกฤตการเงินของหงส์แดงเอาไว้ได้ และเปลี่ยนจากวิกฤติให้ทีมสามารถพลิกฝื้นกลับมาได้ ด้วยนโยบายและการบริหารที่เป็นมืออาชีพ จนปัจจุบันทีมสามารถขยายสนามให้มีความจุเพิ่มมากขึ้นได้ และปัญหาทางการเงินก็ได้รับการแก้ไขให้หมดไป ถึงแม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแล้ว แต่ก็เหมือนว่าเงามืดที่ปกคลุมสโมสรก็ยังไม่จางไป แนวโน้มที่จะต้องสูญเสียนักเตะเก่งๆ ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา ภัยคุกคามที่มาจากภายนอกสโมสร ส่งแรงกระเพื่อมอย่างแรงมาสู่ทีม สิ่งที่เป็นความต้องการของนักเตะทุกคน คือ การประสบความสำเร็จในอาชีพนักเตะ นั่นคือ การ คว้าแชมป์ใดแชมป์หนึ่งให้ได้ หรือ คว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุด เมื่อนักเตะไม่มั่นใจว่าทีมจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ พวกเขาจึงมองหาโอกาสที่ดีกว่าเสมอ การเสียนักเตะแกนหลักออกไปจึงเริ่มโบกมือทักทายมายังถิ่นแอนฟิวส์อีกครั้ง ภารกิจเร่งด่วนที่สโมสรจะต้องทำให้ได้ คือ การสร้างแรงจูงใจ และความศรัทธา ว่าสโมสรจะไปถึงจุดที่หวังได้ แล้ว นำพาทีมไปยังจุดที่ควรจะเป็น โดยที่ไม่ปล่อยให้ EGO มาทำให้เสียแรงศรัทธา ไม่หยั้งงั้นแล้วทีมก็คงหนีไม่พ้นปัญหาเดิมๆ
#ขอบคุณที่ติดตาม
#YNWA
#Cap.rojer13
:
วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560
คืนหมาหอน.....
คืนหมาหอน ....ถ้าหากเราพูดถึงเรื่องการเมือง คืนหมาหอน คือ คืนที่เป็นคืนก่อนวันเลือกตั้งจะเกิดขึ้นซึ่งสาเหตุที่เขาเรียก ว่า คืนหมาหอน ก็คือ บรรดาหัวคะแนน ของผู้สมัครแต่ละคนจะวิ่งวุ่นหาเสียง กันแบบไม่หลับไม่นอน จนหมาต้องหอน นึกว่าเป็นผี
จากการเลือกตั้ง สส. โยงมาถึง ตลาดซื้อขายนักเตะ ที่กำลังจะปิดตัวลง ซึ่งตรงกับเวลาในบ้านเรา
ก็ช่วงเช้าของวันที่ 1 ก.ย. ประมาณ 6 โมงเช้า ถ้าเป็นทางฝั่งยุโรป ก็คืนวันที่ 31 ส.ค. เวลาที่เหลืออีกเพียง 1 วันไม่นับวันที่ผมเขียนบทความนี้ 30 ก.ย.60 ทำให้บรรดาสโมสรที่ต้องการเสริมทัพเพิ่มเติมต้องรีบจัดการปิดดีลนักเตะที่ต้องการให้เสร็จก่อนเส้นตาย ลีกที่มีความคึกคักมากเป็นพิเศษก็คงจะหนี
ไม่พ้น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพราะหลังจากที่เปิดฤดูกาลไปแล้ว 3 นัด แต่ละทีมเริ่มเห็นทิศทางของทีม ว่าต้องปรับปรุงเสริมแต่งตรงไหน กันบ้าง
ลิเวอร์พูล คือทีมที่มีข่าวมากที่สุด ในช่วงตลาดใกล้จะปิด จากที่ปล่อยให้ดีลต่างๆยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ทั้งนักเตะที่ต้องการซื้อ และ นักเตะที่ต้องการขาย เวลาที่เหลืออยู่ ทีมหงส์แดงจึงจำเป็นต้อง รีบจัดการให้เสร็จ เพื่อเตรียมความพร้อมของทีม ในการแข่งขัน หลายรายการ เราคงต้องติดตามดูกันว่า สุดท้ายแล้วหงส์แดง จะสร้างเซอร์ไพร์อะไร ให้กับแฟนบอลได้บ้าง
เซลชี แชมป์เก่า คือ อีกทีมหนึ่งที่ต้องวิ่งแบบเต็มสปีดเพื่อให้ได้นักเตะเข้ามาเสริมทีมเพิ่มเติม ถึงจะได้นักเตะฝีเท้าดีเข้ามาหลายคน แต่ เชลซี ก็ยังดูเหมือนมีทีม ที่ยังไม่พร้อมเท่าที่ควร เพราะ ทีม สิงห์ ลอนดอน ในตอนนี้ ดูจะมีขนาดเล็กเกินไป สำหรับโปรแกรมการแข่งขันที่มี ถ้าหากตัวหลักๆเกิดเจ็บขึ้นมา เชลซี อาจจะแย่ก็เป็นได้
ส่วนทีมใหญ่ทีมอื่นๆ แมนยู ,แมน ซิตี้ ,อาร์เซน่อล หรือ สเปอร์ ต่างก็มีความพอใจ ในนักเตะของตัวเองแล้ว การเคลื่อนไหวในคืนหมาหอน จึงมีน้อย หรือ อาจจะมีเราก็คงไม่รู้ เพราะ ขึ้นชื่อว่า คืนหมาหอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับทีม เงินถุงเงินถัง สั่งได้
เมื่อเข็มนาฬิกา แห่งเวลา หมุนไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึง ประตูของการโยกย้ายใกล้จะจบลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เราคงต้องติดตามกันต่อไป ว่า สุดท้ายแล้วจะมีใครย้ายไปไหนบ้าง รอลุ้นกันครับ
(คืนหมาหอน) มันมันตรงนี้แหละ
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560
อาร์เซ..น่อล VS อาร์เซ...เน่า
สวัสดีครับ หากใครได้ดู เกม บิ๊กแมตซ์ พรีเมียร์ลีก ในวันอาทิตย์ที่ 27 ส.ค.60 ระหว่าง ลิเวอร์พูล
กับ อาร์เซน่อล ซึ่งผลปรากฎว่า ลิเวอร์พูล เจ้าบ้านเปิดแอนฟิวส์ อัดเจ้าปืนใหญ่จนกระบอกแตก 4 ต่อ 0 กลับบ้านไม่เป็น เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ย่ำแย่ที่สุดของ อาร์เซน่อล อีกเกมหนึ่ง หลังจากที่เกมก่อนหน้านี้พึ่งแพ้ให้กับ สโต๊ค มา 0-1
จากหัวเรื่องของผม ไม่ได้จะล้อเลียนอะไร ทีมปืนใหญ่ นะครับ แต่พยายามจะวิเคราห์ให้เห็นว่า การทำทีมของ เจ๊เหี่ยว ใกล้มาถึงทางตัน แล้วหรือยัง? หากจะวัดประสบการณ์ในการทำทีมของ ผจก.ทีมทั้่งหมดในพรีเมียร์ลีก ตอนนี้ คงไม่มีใครจะโส เท่ากับ อาร์เซน แวนเกอร์ อีกแล้ว เกีือบ 20 ปีที่ เจ๊เหี่ยวของเรากุมบังเหียน ทีมปืนใหญ่ ซึ่ง ผจก.ทีม รุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างอำลาทีมไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านกันเลี้ยงหลานกันหมดแล้วแต่ เจ็แก ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางมือ การทำทีมพ่ายแพ้ให้กับ เจอร์เก้น คล๊อป ไม่ใช้ครั้งแรก ถ้าหากใครยังจำได้ ในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซน่อล ก็พ่ายแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล คาบ้าน ด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 4
ถ้าเราจะพูดถึง สไตล์การทำทีม ของ ผจก.ทีมทั้ง 2 คน นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งการเลือกนักเตะที่ชอบนักเตะ มีความเร็ว คล่องตัว และเล่นได้หลายตำแหน่ง การเล่นบอลบนพื้น ทำชิ่่ง สวยงาม การเข้ากดดันคู่แข่งเร็ว จากสไตล์ที่ใกล้เคียงกัน เมื่อทั้ง 2 ทีมนี้มาพบกันเมื่อไหร่ ความมันก็บังเกิดขึ้นเมื่อนั้น
เราจะเห็นได้จากสกอร์ที่เกิดขึ้นต้องมี 2 ลูกเป็นอย่างต่ำ เมื่อทั้งคู่พบกัน
แต่สถิติในเกมล่าสุด บ่งบอกว่า อาร์เซน่อล ไม่ได้เข้าใกล้มาตราฐานของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เจ้าปืนใหญ่สร้างสถิติใหม่ที่ไม่น่าจดจำให้เกิดขึ้น คือ ทีมไม่สามารถยิงให้เข้ากรอบได้แม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งมันบ่งบอกว่า เกมรุกของ อาร์เซน่อล ด้อยประสิทธิภาพมากแค่ไหน ขนาดมี ตัวรุกระดับพระกาฬอยู่ในทีม ทั้ง
อเล็กซีส ,โอซิล และ ตัวใหม่ อย่าง ลากาแซต แต่เจ้าปืนใหญ่ กลับไม่สามารถสร้างความกดดันให้กับเกมรับของลิเวอร์พูล ได้เลย ในทางกลับกัน ทีมหงส์แดง สามารถยิงเข้ากรอบระดับ 10 ครั้งต่อเกม ได้เป็นหนที่ 4 ทั้ง เฟอร์มีโน ,มาเน่ และ ซาล่า ผลัดกันทำประตู อย่างเมามัน
ทำไม อาร์เซน่อล ถึงเป็นแบบนี้ และ กำลังจะ..เน่า
#เวนเกอร์ หมดไฟ
การประสบความสำเร็จ ในยุคไร้พ่ายของ อาร์เซน่อล ขึ้นสู่จุดสุงสุดของ อาชีพ ผจก.ทีม ของ เวนเกอร์ จาก ผจก.โนเนม ในลีก ญี่ปุ่น เข้ามากุมบังเหียน ทีมปืนใหญ่ แห่งลอนดอน
จนสามารถพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ด้วยการปุกปั้นขุนพลที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ให้ขึ้นมาเป็นซุปตาร์ได้ ฟันเฟืองสำคัญ คือ เธียรี่ ออรี่, ปาทริค วิเอร่า ,โรแบร์ ปิแรส 3 ขุนพลจากฝรั่งเศส บวกกับ กำแพงเหล็ก อย่าง โทนี่ อดัม ,มาติน คีโอน ทำให้อาร์เซนอล ชุดไร้พ่ายของแวงเกอร์ไร้เทียมทานแกร่งทั่วแผน สไตล์การเล่นบอลกับพื้นในยุคนั้นดูเหมือนจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสไตล์แบบ ไดเรก ฟุตบอล คือ โยนยาวเป็นหลัก เมื่อมาเจอกับฟุตบอลที่เล่นบนพื้นและรวดเร็วต่างก็รับมือไม่ทัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสไตล์ฟุตบอลอังกฤษก็เริ่มเปลี่ยน ฟุตบอลสไตล์ ลาติน/สเปน ติกะตากะ เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้น สไตล์ของอาร์เซน่อล ก็เหมือนจะถูกแก้ลำ และด้วยอายุของ เวนเกอร์ ก็ดูจะไม่สามารถคิดค้น สไตล์ใหม่ขึ้นมาได้ ถึงแม้จะเปลี่ยน ระบบการเล่น มาเป็น
3-4-3 ก็ตาม แต่ความเข้าใจในเกมของนักเตะนั้นกลับไม่มีเลย
#นักเตะ ขาดความกระหาย
ปัญหาคาราคาซัง ของนักเตะภายในทีม นักเตะระดับสตาร์ของทีมปืนใหญ่หลายคนต้องการย้ายออกจากสโมสร ทั้่ง เมซุส โอซิล ,อเล็กซีส ซานเชส และ อเล็ก ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน ต่างไม่ยอมต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสร รวมถึง นักเตะที่ เวนเกอร์นำเข้ามาใหม่ ก็ไม่ค่อยได้รับโอกาส มากนัก ส่งผลทำให้ บรรยากาศ ภายในทีม มันดูอึมครึม ขาดความสามัคคี ความเข้าใจในทีม ผลที่ออกมาก็คือ ต่างคนต่างเล่น ไม่สอดประสานกัน ต่างจากคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ยิ่งเล่นยิ่งเข้าใจซึ่งกันและกัน แบบมองตารู้ใจ
การเล่นทั้งมีบอลและไม่มีบอล หากลองวิเคราะห์ดูจากเกม จะเห็นว่าเป็นระบบมากๆ ถ้าหากเราลองเทียบตัวนักเตะของ อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล นักเตะของ ปืนใหญ่ ดูจะมีภาษีดีกว่านักเตะของ ลิเวอร์พูล อยุู่ไม่น้อย แต่สิ่งเดียวที่สร้างความแตกต่าง และทำให้ อาร์เซน่อล พ่ายแพ้ ก็คือ สภาพจิตใจของนักเตะ ที่ต่างกันคนละขั้ว
#เปลี่ยนแปลงระบบการเล่น
เวนเกอร์ เลือกที่จะใช้ระบบยอดนิยมในยุคนี้ คือ 3-4-3 ซึ่งไม่ใช้ระบบที่พวกเข้าคุ้นเคย การใช้
3 เซนเตอร์ ที่ซ้อมร่วมกันน้อย และไม่ใช้ เซนเตอร์แบ็กอาชีพทั้งหมด มารับมือ กับ 3 ตัวรุกขั้นเทพ ของลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นความผิดพลาดมหัน เพราะการเล่น 3 เซนเตอร์แบ็ก เปิดพื้นที่ด้านข้างให้กับ ตัวรุกที่มีความเร็วของลิเวอร์พูล เข้าโจมตีได้ง่าย เราจึงเห็น ทั้ง มาเน่ และ ซาล่า ป่วนเปี้ยน อยู่หน้าประตู
อาร์เซน่อล อยู่ตลอด การใช้บอลทะลุช่อง หรือ เปิดบอลให้ข้ามกองหลัง สร้างสรรค์ประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ได้
#ความดื้อ
ความมั่นใจในตัวนักเตะ ดาวรุ่ง มากเกินไป ของ เจ๊เหี่ยว ดูเหมือนจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถในการปั้นนักเตะของ เวนเกอร์ เพราะเข้าสร้างนักเตะ โนเนม ให้แจ้งเกิด มาแล้วหลายต่อหลายคน อองรี่, วิเอร่า, เชส ฟราเบกราส และ โรบิน ฟานเปอร์ซี่ คือ ผลผลิต ที่ เวนเกอร์ สร้างขึ้นมา ถึงจะไม่ใช้ ลูกหม้อของสโมสร แต่พวกเขา ก็เกิดมาจากนักเตะ โนเนม ที่ผ่านการเจียรไน ของ
เวนเกอร์ แต่ยุคนี้ กับ ยุคนั้น ต่างกันมาก การให้นักเตะ ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ลงเล่นในเกมที่มีความกดดันสูง ไม่ใช้สิ่งที่ดี นักเตะดาวรุ่ง อาจมีฝีเท้าดี มีความมั่นใจ แต่สิ่งที่พวกเขายังต้องเรียนรู้ คือ ประสบการณ์ และ การรับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่า ลิเวอร์พูลก็ใช้เหมือนกัน ทำไมถึงเล่นดี สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล นั้นต่างกัน ลิเวอร์พูล ไม่มีนักเตะให้เลือกใช้มากนัก จำเป็นต้องดันนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาเล่นแทนตัวหลักที่บาดเจ็บ แต่ถ้าหากเราสังเกตุ ความละเอียดดูให้ดี จะเห็นว่า ผจก.JK เลือกดาวรุ่งที่เล่นเกมรับดีและตัวใหญ่ มาใช้กับ อาร์เซน่อล การเลือก โจ โกเมซ มารับมือกับ อเล็กซีส ถือว่าได้ผลมาก ถ้าหากเขาเลือก อาร์โนล มาเล่นแทน เกมนี้อาจไม่ได้ออกมาแบบที่เห็น ต่างจาก เวนเกอร์ ที่เลือก โฮดดิ้ง มายืนแทน มุสตาฟี และ คอลาซินาส ที่เป็นนักเตะระดับทีมชาติและมีประสบการณ์ในเกมใหญ่ๆ ผลที่ออกมาจึงดูผิดที่ผิดทาง โฮดดิ้ง กลายเป็นบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ ให้ มาเน่ เล่นงาน
หลังจากผ่านไปแล้ว 3 เกม ปัจจุบัน ทีมปืนใหญ่ อยู่ที่ อันดับ 16 ในตารางคะแนน การแข่งขันเพียง 3 นัดอาจตัดสินอะไรไม่ได้ แต่ถ้าหาก อาร์เซน่อล ยังไม่รีบแก้ไข ส่ิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช้ แค่ เซ เฉยๆ แต่อาจถึงขั้น หายนะ
แล้ว "อาร์เซน่อล" ก็จะกลายเป็น "อาร์เซเน่า" ที่ถูกล้ออย่างสนุกปาก
น่าเป็นห่วงครับบ
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
กับ อาร์เซน่อล ซึ่งผลปรากฎว่า ลิเวอร์พูล เจ้าบ้านเปิดแอนฟิวส์ อัดเจ้าปืนใหญ่จนกระบอกแตก 4 ต่อ 0 กลับบ้านไม่เป็น เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ย่ำแย่ที่สุดของ อาร์เซน่อล อีกเกมหนึ่ง หลังจากที่เกมก่อนหน้านี้พึ่งแพ้ให้กับ สโต๊ค มา 0-1
จากหัวเรื่องของผม ไม่ได้จะล้อเลียนอะไร ทีมปืนใหญ่ นะครับ แต่พยายามจะวิเคราห์ให้เห็นว่า การทำทีมของ เจ๊เหี่ยว ใกล้มาถึงทางตัน แล้วหรือยัง? หากจะวัดประสบการณ์ในการทำทีมของ ผจก.ทีมทั้่งหมดในพรีเมียร์ลีก ตอนนี้ คงไม่มีใครจะโส เท่ากับ อาร์เซน แวนเกอร์ อีกแล้ว เกีือบ 20 ปีที่ เจ๊เหี่ยวของเรากุมบังเหียน ทีมปืนใหญ่ ซึ่ง ผจก.ทีม รุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างอำลาทีมไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านกันเลี้ยงหลานกันหมดแล้วแต่ เจ็แก ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางมือ การทำทีมพ่ายแพ้ให้กับ เจอร์เก้น คล๊อป ไม่ใช้ครั้งแรก ถ้าหากใครยังจำได้ ในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซน่อล ก็พ่ายแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล คาบ้าน ด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 4
ถ้าเราจะพูดถึง สไตล์การทำทีม ของ ผจก.ทีมทั้ง 2 คน นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งการเลือกนักเตะที่ชอบนักเตะ มีความเร็ว คล่องตัว และเล่นได้หลายตำแหน่ง การเล่นบอลบนพื้น ทำชิ่่ง สวยงาม การเข้ากดดันคู่แข่งเร็ว จากสไตล์ที่ใกล้เคียงกัน เมื่อทั้ง 2 ทีมนี้มาพบกันเมื่อไหร่ ความมันก็บังเกิดขึ้นเมื่อนั้น
เราจะเห็นได้จากสกอร์ที่เกิดขึ้นต้องมี 2 ลูกเป็นอย่างต่ำ เมื่อทั้งคู่พบกัน
แต่สถิติในเกมล่าสุด บ่งบอกว่า อาร์เซน่อล ไม่ได้เข้าใกล้มาตราฐานของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เจ้าปืนใหญ่สร้างสถิติใหม่ที่ไม่น่าจดจำให้เกิดขึ้น คือ ทีมไม่สามารถยิงให้เข้ากรอบได้แม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งมันบ่งบอกว่า เกมรุกของ อาร์เซน่อล ด้อยประสิทธิภาพมากแค่ไหน ขนาดมี ตัวรุกระดับพระกาฬอยู่ในทีม ทั้ง
อเล็กซีส ,โอซิล และ ตัวใหม่ อย่าง ลากาแซต แต่เจ้าปืนใหญ่ กลับไม่สามารถสร้างความกดดันให้กับเกมรับของลิเวอร์พูล ได้เลย ในทางกลับกัน ทีมหงส์แดง สามารถยิงเข้ากรอบระดับ 10 ครั้งต่อเกม ได้เป็นหนที่ 4 ทั้ง เฟอร์มีโน ,มาเน่ และ ซาล่า ผลัดกันทำประตู อย่างเมามัน
ทำไม อาร์เซน่อล ถึงเป็นแบบนี้ และ กำลังจะ..เน่า
#เวนเกอร์ หมดไฟ
การประสบความสำเร็จ ในยุคไร้พ่ายของ อาร์เซน่อล ขึ้นสู่จุดสุงสุดของ อาชีพ ผจก.ทีม ของ เวนเกอร์ จาก ผจก.โนเนม ในลีก ญี่ปุ่น เข้ามากุมบังเหียน ทีมปืนใหญ่ แห่งลอนดอน
จนสามารถพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ด้วยการปุกปั้นขุนพลที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ให้ขึ้นมาเป็นซุปตาร์ได้ ฟันเฟืองสำคัญ คือ เธียรี่ ออรี่, ปาทริค วิเอร่า ,โรแบร์ ปิแรส 3 ขุนพลจากฝรั่งเศส บวกกับ กำแพงเหล็ก อย่าง โทนี่ อดัม ,มาติน คีโอน ทำให้อาร์เซนอล ชุดไร้พ่ายของแวงเกอร์ไร้เทียมทานแกร่งทั่วแผน สไตล์การเล่นบอลกับพื้นในยุคนั้นดูเหมือนจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสไตล์แบบ ไดเรก ฟุตบอล คือ โยนยาวเป็นหลัก เมื่อมาเจอกับฟุตบอลที่เล่นบนพื้นและรวดเร็วต่างก็รับมือไม่ทัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสไตล์ฟุตบอลอังกฤษก็เริ่มเปลี่ยน ฟุตบอลสไตล์ ลาติน/สเปน ติกะตากะ เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้น สไตล์ของอาร์เซน่อล ก็เหมือนจะถูกแก้ลำ และด้วยอายุของ เวนเกอร์ ก็ดูจะไม่สามารถคิดค้น สไตล์ใหม่ขึ้นมาได้ ถึงแม้จะเปลี่ยน ระบบการเล่น มาเป็น
3-4-3 ก็ตาม แต่ความเข้าใจในเกมของนักเตะนั้นกลับไม่มีเลย
#นักเตะ ขาดความกระหาย
ปัญหาคาราคาซัง ของนักเตะภายในทีม นักเตะระดับสตาร์ของทีมปืนใหญ่หลายคนต้องการย้ายออกจากสโมสร ทั้่ง เมซุส โอซิล ,อเล็กซีส ซานเชส และ อเล็ก ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน ต่างไม่ยอมต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสร รวมถึง นักเตะที่ เวนเกอร์นำเข้ามาใหม่ ก็ไม่ค่อยได้รับโอกาส มากนัก ส่งผลทำให้ บรรยากาศ ภายในทีม มันดูอึมครึม ขาดความสามัคคี ความเข้าใจในทีม ผลที่ออกมาก็คือ ต่างคนต่างเล่น ไม่สอดประสานกัน ต่างจากคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ยิ่งเล่นยิ่งเข้าใจซึ่งกันและกัน แบบมองตารู้ใจ
การเล่นทั้งมีบอลและไม่มีบอล หากลองวิเคราะห์ดูจากเกม จะเห็นว่าเป็นระบบมากๆ ถ้าหากเราลองเทียบตัวนักเตะของ อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล นักเตะของ ปืนใหญ่ ดูจะมีภาษีดีกว่านักเตะของ ลิเวอร์พูล อยุู่ไม่น้อย แต่สิ่งเดียวที่สร้างความแตกต่าง และทำให้ อาร์เซน่อล พ่ายแพ้ ก็คือ สภาพจิตใจของนักเตะ ที่ต่างกันคนละขั้ว
#เปลี่ยนแปลงระบบการเล่น
เวนเกอร์ เลือกที่จะใช้ระบบยอดนิยมในยุคนี้ คือ 3-4-3 ซึ่งไม่ใช้ระบบที่พวกเข้าคุ้นเคย การใช้
3 เซนเตอร์ ที่ซ้อมร่วมกันน้อย และไม่ใช้ เซนเตอร์แบ็กอาชีพทั้งหมด มารับมือ กับ 3 ตัวรุกขั้นเทพ ของลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นความผิดพลาดมหัน เพราะการเล่น 3 เซนเตอร์แบ็ก เปิดพื้นที่ด้านข้างให้กับ ตัวรุกที่มีความเร็วของลิเวอร์พูล เข้าโจมตีได้ง่าย เราจึงเห็น ทั้ง มาเน่ และ ซาล่า ป่วนเปี้ยน อยู่หน้าประตู
อาร์เซน่อล อยู่ตลอด การใช้บอลทะลุช่อง หรือ เปิดบอลให้ข้ามกองหลัง สร้างสรรค์ประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ได้
#ความดื้อ
ความมั่นใจในตัวนักเตะ ดาวรุ่ง มากเกินไป ของ เจ๊เหี่ยว ดูเหมือนจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถในการปั้นนักเตะของ เวนเกอร์ เพราะเข้าสร้างนักเตะ โนเนม ให้แจ้งเกิด มาแล้วหลายต่อหลายคน อองรี่, วิเอร่า, เชส ฟราเบกราส และ โรบิน ฟานเปอร์ซี่ คือ ผลผลิต ที่ เวนเกอร์ สร้างขึ้นมา ถึงจะไม่ใช้ ลูกหม้อของสโมสร แต่พวกเขา ก็เกิดมาจากนักเตะ โนเนม ที่ผ่านการเจียรไน ของ
เวนเกอร์ แต่ยุคนี้ กับ ยุคนั้น ต่างกันมาก การให้นักเตะ ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ลงเล่นในเกมที่มีความกดดันสูง ไม่ใช้สิ่งที่ดี นักเตะดาวรุ่ง อาจมีฝีเท้าดี มีความมั่นใจ แต่สิ่งที่พวกเขายังต้องเรียนรู้ คือ ประสบการณ์ และ การรับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่า ลิเวอร์พูลก็ใช้เหมือนกัน ทำไมถึงเล่นดี สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล นั้นต่างกัน ลิเวอร์พูล ไม่มีนักเตะให้เลือกใช้มากนัก จำเป็นต้องดันนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาเล่นแทนตัวหลักที่บาดเจ็บ แต่ถ้าหากเราสังเกตุ ความละเอียดดูให้ดี จะเห็นว่า ผจก.JK เลือกดาวรุ่งที่เล่นเกมรับดีและตัวใหญ่ มาใช้กับ อาร์เซน่อล การเลือก โจ โกเมซ มารับมือกับ อเล็กซีส ถือว่าได้ผลมาก ถ้าหากเขาเลือก อาร์โนล มาเล่นแทน เกมนี้อาจไม่ได้ออกมาแบบที่เห็น ต่างจาก เวนเกอร์ ที่เลือก โฮดดิ้ง มายืนแทน มุสตาฟี และ คอลาซินาส ที่เป็นนักเตะระดับทีมชาติและมีประสบการณ์ในเกมใหญ่ๆ ผลที่ออกมาจึงดูผิดที่ผิดทาง โฮดดิ้ง กลายเป็นบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ ให้ มาเน่ เล่นงาน
หลังจากผ่านไปแล้ว 3 เกม ปัจจุบัน ทีมปืนใหญ่ อยู่ที่ อันดับ 16 ในตารางคะแนน การแข่งขันเพียง 3 นัดอาจตัดสินอะไรไม่ได้ แต่ถ้าหาก อาร์เซน่อล ยังไม่รีบแก้ไข ส่ิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช้ แค่ เซ เฉยๆ แต่อาจถึงขั้น หายนะ
แล้ว "อาร์เซน่อล" ก็จะกลายเป็น "อาร์เซเน่า" ที่ถูกล้ออย่างสนุกปาก
น่าเป็นห่วงครับบ
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สรุปผลการจับสลากรอบแบ่งกลุ่ม UCL 2017-2018
ผ่านไปเรียบร้อยสำหรับการจับสลากแบ่งกลุ่ม ทีมที่จะร่วมแข่งขันในฟุตอบอล รายการ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ฤดูกาล 2017-2018 ที่จัดขึ้นที่ เมือง โมนาโก ประเทศ ฝรั่งเศส เมื่อ 25 ส.ค.60 ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นไปตามตารางด่านล่าง
ก่อนที่เราจะไปวิเคราะห์ถึงสถานณ์ต่างๆ ใครอยู่ในกลุ่มงานง่าย งานยาก หรือ กลุ่มแห่งความตาย เรามาท้าวความกันก่อนว่าก๋็อยากให้ทุกท่านได้ทราบหลักเกณฑ์ กติการ การคัดเลือก สำหรับทีมที่จะมีสิทธิ์เข้าเร่วมการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ กันก่อนว่า มีอะไรบ้าง
หลักเกณฑ์การคัดเลือกทีมเข้าร่วมการแข่งขัน UCL
78 หรือ 79 สโมสรจาก 54 ประเทศ ของสมาชิกยูฟ่าจำนวน 55 ประเทศ จะได้เข้าร่วมการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 (ยกเว้นลิกเตนสไตน์ ซึ่งไม่ได้จัดการแข่งขันลีก)โดยจะจัดอันดับแต่ละประเทศสำหรับจำนวนของสโมสรที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน ดังนี้:
- สมาคมอันดับที่ 1–3 จะได้สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน 4 สโมสร
- สมาคมอันดับที่ 4–6 จะได้สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน 3 สโมสร
- สมาคมอันดับที่ 7–15 จะได้สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน 2 สโมสร
- สมาคมอันดับที่ 16–55 (ยกเว้นลิกเตนสไตน์) จะได้สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน 1 สโมสร
การจัดอันดับตามสมาคมฟุตบอล
สำหรับการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 จะจัดอันดับอ้างอิงตามค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่าในปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ซึ่งคิดตามผลการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 ถึง 2015–16.
นอกจากการคิดจากค่าสัมประสิทธิ์แล้ว สมาคมของประเทศนั้นจะได้รับสิทธิ์ให้มีสโมสรเข้าแข่งขันเพิ่มในแชมเปียนส์ลีก ดังนี้:
- (CL) – สิทธิ์สำหรับสโมสรชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก
- (EL) – สิทธิ์สำหรับสโมสรชนะเลิศยูโรปาลีก
ตารางการจัดอันดับลีก
การจัดการแข่งขันรอบคัดเลือก
ในรอบคัดเลือกและรอบเพลย์ออฟ, ทีมจะแบ่งออกเป็นทีมวางและไม่ได้เป็นทีมวางขึ้นอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์สโมสรยูฟ่า ในแต่ละปี ของพวกเขาและหลังจากนั้นการจับสลากจะอยู่ในระบบสองนัดเหย้าและเยือน. ทีมที่มาจากสมาคมเดียวกันจะไม่สามารถจับสลากมาพบกันเองได้.
รอบคัดเลือกรอบแรก
การจับสลากสำหรับรอบคัดเลือกรอบแรกจะจัดขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2017, 12:00 CEST, ที่สำนักงานใหญ่ยูฟ่าในเมือง นียง, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์.
ทั้งหมดสิบทีมที่จะลงเล่นในรอบคัดเลือกรอบแรกในฤดูกาล 2017-2018. นัดแรกจะลงเล่นในวันที่ 27 และ 28 มิถุนายน, และนัดที่สองจะลงเล่นในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2017.
รอบคัดเลือกรอบสอง
การจับสลากสำหรับรอบคัดเลือกรอบสองปี 2017-2018 จะจัดขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2017, 12:00 CEST (หลังจากเสร็จสิ้นของพิธีการจับสลากรอบคัดเลือกรอบแรก), ที่สำนักงานใหญ่ยูฟ่าในเมือง นียง, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์.
ทั้งหมด 34 ทีมที่จะลงเล่นในรอบคัดเลือกรอบสอง: 29 ทีมที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบนี้, และห้าทีมผู้ชนะรอบคัดเลือกรอบแรก.
รอบคัดเลือกรอบสาม
การจับสลากสำหรับรอบคัดเลือกรอบสามจะจัดขึ้นในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 12:00 CEST, ที่สำนักงานใหญ่ยูฟ่าในเมือง นียง, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์.
รอบคัดเลือกรอบสามถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน: เส้นทางแชมป์ลีก (สำหรับแชมป์ลีก) และเส้นทางทีมที่ไม่ได้เป็นแชมป์ลีก (สำหรับทีมที่ไม่ได้เป็นแชมป์ลีก). ทีมที่แพ้ในทั้งสองส่วนจะได้เข้าไปสู่ ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบเพลย์ออฟ.
นัดแรกจะลงเล่นในวันที่ 25 และ 26 กรกฎาคม, และนัดที่สองจะลงเล่นในวันที่ 1 และ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560.
รอบเพลย์ออฟ
การจับสลากสำหรับรอบเพลย์ออฟจะจัดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560, 12:00 CEST, ที่สำนักงานใหญ่ยูฟ่าในเมือง นียง, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์.
รอบเพลย์ออฟถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน: เส้นทางแชมป์ลีก (สำหรับแชมป์ลีก) และเส้นทางทีมที่ไม่ได้เป็นแชมป์ลีก (สำหรับทีมที่ไม่ได้เป็นแชมป์ลีก). ทีมที่แพ้ในทั้งสองส่วนจะได้เข้าไปสู่ ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม.
นัดแรกจะลงเล่นในวันที่ 15 และ 16 สิงหาคม, และนัดที่สองจะลงเล่นในวันที่ 22 และ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อผ่านรอบเพลย์ออฟเรียบร้อยแล้ว ก็จะทีมที่เหลือเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มจำนวน 32 ทีม แบ่งเป็น 8 กลุ่มๆละ 4 ทีม
ตั้งแต่ A-H ผลการจับสลากก็ออกมาตามที่ทุกท่านได้เห็นด้านบน ในบทความหน้าเราจะมาวิเคราะห์กันในแต่ละกลุ่มว่า กลุ่มไหนเป็นยังไงกันบ้าง และคาดการณ์ทีมที่จะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมต่อไป หากจะมาวิเคราะห์ในบทความนี้เกรงว่ามันจะยืดยาวไปมาก ไว้พบกันในบทความหน้าละกันนะครับ to be continue
#ขอบคุณข้อมูลจาก th.wikipedia.org วิกิพีเดีย
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560
จาก เซนต์ แมรี่ ถึง แอนฟิวส์ ปัญหาที่ต้องรีบแก้
จากผู้กระทำ กลายเป็น ผู้ถูกกระทำ ลิเวอร์พูล คงจะเข้าใจหัวอก ของทีม เซาต์แธมป์ตัน เป็นอย่างดี เพราะกำลังจะเสียนักเตะที่เป็นเหมือนหัวใจในเกมรุกให้กับ ยักษ์ใหญ่แห่งสเปน ในไม่ช้า ก็เร็ว ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะประกาศกร้าวว่า คูตินโญ่ ไม่ได้มีไว้ขาย แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นใจให้ลิเวอร์พูล เมื่อ คูตินโญ่ ออกมาแสดงความต้องการย้ายออกจากทีม ด้วยการขอขึ้นบัญชีขาย และไม่ต้องการลงเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกต่อไป ซึ่ง เหตุการณ์แบบนี้ ดูเหมือนมันจะคุ้นๆและเคยเกิดที่ไหนมาก่อน
ผลกระทบ จาก เนย์มาร์ เอฟเฟ็ก ส่งแรงกระแทกมาถึง แอนฟิวส์ อย่างแรง นักเตะที่ไม่มีวี่แววว่าต้องการย้าย มาบอกว่าไม่อยากอยู่ เอาตอนที่ฤดูกาลแข่งขันกำลังจะเริ่มต้น ถึงจะยังพอมีเวลาอยู่บ้างแต่การหาตัวแทน นักเตะที่ไม่ได้คิดว่าจะย้ายนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ได้วางแผนกันมาล่วงหน้า การย้ายทีมจึงมีปมดราม่าเกิดขึ้น แต่สถานการณ์ของ คูตินโญ่ และ เวอร์จิล วาน ไดค์ นั่นต่างกันมาก กรณี ของ VVD นั้นได้แจ้งกับทาง ผจก.ทีม และ สโมสร ไว้ตั้งแต่ต้น แต่สโมสรกลับไม่ทำอะไรให้เกิดขึ้นและไม่ได้วางแผนในเรื่องนี้ด้วยซ้ำปล่อยให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงเรื่อยๆ จน VVD เองต้องออกมาดิ้นรนขอย้ายทีมเอง
ส่วนในกรณี คูตินโญ่ นั้น อาจจะมีเบื้องลึก เบื้องหลังคอยสนับสนุนอยู่ เพราะ คูตี้ เองพึ่งต่อสัญญาระยะยาวกับทีมออกไป 5 ปี และตัวเขาเองก็ออกมาประกาศเองว่ามีความสุขกับทีม และจะอยู่เป็นตำนาน ปัญหาของ ลิเวอร์พูล จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง 2 สโมสรแน่ๆ ถ้าหากยังฝืนที่จะเก็บตัวนักเตะที่ไม่มีใจเอาไว้ ก็คือ ความสัมพันธ์ภายในทีม ทั้งตัวนักเตะกับเพื่อนร่วมทีม และ นักเตะกับโค้ช เอง ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมในเรื่องของผลงานในทีมด้วย รวมไปถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับแฟนบอล ที่ไม่ชอบใจในเรื่องนี้
ดังนั้นทางออก ที่ผมคิดว่าดีที่สุด ของ ทั้ง 2 สโมสร ก็คือ รีบๆปล่อยให้นักเตะย้ายออกไปซะ แล้วนำเงินที่ได้มาหาตัวแทนโดยเร็วๆ เพราะยังพอมีเวลา จะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้ว การยึดหลักความคิดออกตัวเอง บางทีก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากมันไม่ได้ส่งผลดีกับทีม ก็ควรจะอ่อนตัวลงบ้าง ก็คงไม่มีใครว่า
การทำทีมที่ขึ้นอยู่กับตัวนักเตะนั้นไม่ได้ช่วยให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว นักเตะเพียงคนเดียว ไม่เคยยิ่งใหญ่ไปกว่า สโมสร หาก เซาท์แธมตัน หรือ ลิเวอร์พูล ต้องการที่จะจบปัญหาและทำทีมให้ประสบความสำเร็จ ต่อไป ต้องอย่าฝืนความเป็นไปของธรรมชาติ "เพราะทีมที่จะประสบความสำเร็จที่สุด ไม่ใช่ทีมที่มีนักเตะที่เก่งที่สุด แต่มันคือ ทีมที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดตากหาก"
ซึ่งหลักการนี้พิสูจน์ได้จาก เลสเตอร์ ,โมนาโก ,ดอร์ทมุน และ แอต มาดริด ที่เคยทำได้มาแล้ว
ลิเวอร์พูล และ เซาท์แธมป์ตัน ไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์อะไรให้แฟนบอลเห็น เพราะสิ่งที่แฟนบอลอยากเห็นมากที่สุด ไม่ใช้การรั้งนักเตะคนใดคนหนึ่งไว้ได้ แต่มันคือ ทีมที่ตัวเองรักได้ก้าวไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จ อย่างภาคภูมิใจต่างหาก
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
ส่วนในกรณี คูตินโญ่ นั้น อาจจะมีเบื้องลึก เบื้องหลังคอยสนับสนุนอยู่ เพราะ คูตี้ เองพึ่งต่อสัญญาระยะยาวกับทีมออกไป 5 ปี และตัวเขาเองก็ออกมาประกาศเองว่ามีความสุขกับทีม และจะอยู่เป็นตำนาน ปัญหาของ ลิเวอร์พูล จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง 2 สโมสรแน่ๆ ถ้าหากยังฝืนที่จะเก็บตัวนักเตะที่ไม่มีใจเอาไว้ ก็คือ ความสัมพันธ์ภายในทีม ทั้งตัวนักเตะกับเพื่อนร่วมทีม และ นักเตะกับโค้ช เอง ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมในเรื่องของผลงานในทีมด้วย รวมไปถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับแฟนบอล ที่ไม่ชอบใจในเรื่องนี้
ดังนั้นทางออก ที่ผมคิดว่าดีที่สุด ของ ทั้ง 2 สโมสร ก็คือ รีบๆปล่อยให้นักเตะย้ายออกไปซะ แล้วนำเงินที่ได้มาหาตัวแทนโดยเร็วๆ เพราะยังพอมีเวลา จะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้ว การยึดหลักความคิดออกตัวเอง บางทีก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากมันไม่ได้ส่งผลดีกับทีม ก็ควรจะอ่อนตัวลงบ้าง ก็คงไม่มีใครว่า
การทำทีมที่ขึ้นอยู่กับตัวนักเตะนั้นไม่ได้ช่วยให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว นักเตะเพียงคนเดียว ไม่เคยยิ่งใหญ่ไปกว่า สโมสร หาก เซาท์แธมตัน หรือ ลิเวอร์พูล ต้องการที่จะจบปัญหาและทำทีมให้ประสบความสำเร็จ ต่อไป ต้องอย่าฝืนความเป็นไปของธรรมชาติ "เพราะทีมที่จะประสบความสำเร็จที่สุด ไม่ใช่ทีมที่มีนักเตะที่เก่งที่สุด แต่มันคือ ทีมที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดตากหาก"
ซึ่งหลักการนี้พิสูจน์ได้จาก เลสเตอร์ ,โมนาโก ,ดอร์ทมุน และ แอต มาดริด ที่เคยทำได้มาแล้ว
ลิเวอร์พูล และ เซาท์แธมป์ตัน ไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์อะไรให้แฟนบอลเห็น เพราะสิ่งที่แฟนบอลอยากเห็นมากที่สุด ไม่ใช้การรั้งนักเตะคนใดคนหนึ่งไว้ได้ แต่มันคือ ทีมที่ตัวเองรักได้ก้าวไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จ อย่างภาคภูมิใจต่างหาก
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560
คาดการณ์อันดับในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-2018
พรีเมียร์ลีก อังฤกษ ฤดูกาล 2017-2018 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนะครับ ในวันที่ 12 ส.ค.60 ที่ผ่านมา หลังจากที่ทุกทีม ผ่านเกมการแข่งขันในนัดแรกของฤดูกาลไปแล้ว ก็ปรากฎว่าทีมที่นำเป็นจ่าฝูง คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เปิดโรงละคร อัด ขุนค้อน เวสแฮมต์ เละ 4-0 ยึดพื้นที่หัวตารางเรียบร้อยไปเมื่อคืน (13 ส.ค.60) แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายที่สุด สำหรับนัดแรกของฤดูกาล ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ก็คือ ทีม แชมป์เก่า อย่าง เชลซี ที่ล็อกถล่ม แพ้คาบ้านให้ กับ เบิร์นลี่ 2-3 ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนๆ สิงห์บลูคงไม่่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับนัดแรกในบ้านของตัวเอง ทีมสิงห์เมืองหลวง โดนนำไปก่อน ถึง 3 ประตู สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ การที่ แกรี่ เคฮิลล์ ปราการหลังกัปตันทีม โดนไล่ออกตั้งแต่ ไก่โห่ ในครึ่งเวลาแรก ส่งผลทำให้ทีมเสียสมดุลและพลาดท่าในที่สุด
เกมนัดแรกของฤดูกาล คงตัดสินอะไรไม่ได้ เพราะยังมีเวลาอีกนาน และ เกมแข่งขันอีก 37 นัด ที่ต้องเล่น คงต้องติดตามดูกันไปอีกยาวๆ จนถึงช่วง ปีใหม่ คงพอจะเห็น เงาลางๆของทีมที่เป็นว่าที่แชมป์ ให้เห็น แต่ถ้าหากเราจะมาวิเคราะห์ถึงขุมกำลังและสภาพความพร้อมของแต่ละทีม ในฤดูกาลนี้
ผมคิดว่าคงคาดเดาได้ไม่ยากนัก เพราะถ้าดูจากการซื้อขายในตลาดนักเตะที่ผ่านมา ทีมที่ใช้เงินเยอะๆ ก็คงจะได้เปรียบเทียบอื่นๆ อยู่ไม่น้อย คงรู้นะครับว่ามีทีมไหนบ้าง
ต่อไปผมจะคาดการณ์อันดับ ที่จะเกิดขึ้น กับการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ จนสิ้นสุดฤดูกาล ทีมไหน จะเป็นแชมป์ ทีมไหน จะอยู่ที่เท่าไหร่กันบ้าง โดยผมจะเน้นที่ 5 อันดับแรก ไปเริ่มกันเลยครับ
อันดับที่ 1 (แชมป์) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กูรูหลายท่าน และสื่อหลายสำนัก ก็คงมองเห็นตรงกันกับผมว่า ทีมเรือใบสีฟ้า ของ เป็ป กวาดิโอล่า เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์มากที่สุดในปีนี้ กับ 1 ฤดูกาลของความคาดหวัง ที่แฟนๆอยากให้ เป๊ป บรรดาลความสำเร็จมาให้ เหมือนอย่างที่ทำกับ บาร์ซ่า และ บาร์เยิร์น แต่เป็บ เองก็ทำไม่สำเร็จ แต่กลับต้องมากระเสือกกระสน แย่งพื้นที่แชมป์เปี้ยนลีกแบบหืดขึ้นคอ จากผลงานในฤดูกาลที่แล้ว เป็ป เองคงจะได้รู้แล้วว่า พรีเมียร์ลีก ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เหมือนใน สเปน และ เยอรมัน ที่มีไม่กี่ทีม ลุ้นแย่งแชมป์กัน ในอังกฤษมีแต่ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่พร้อมจะ กระซวก ได้ทุกเมื่อถ้าแสดงความอ่อนแอให้เห็น ในฤดูกาลนี้ เป็ป เลือกที่จะเสริมในจุดอ่อนที่เขาคิดว่าเป็นปัญหาสำหรับทีม คือการ โละแนวรับ ของเดิมเกือบทั้งหมด และ เพิ่มนักเตะใหม่ในตำแหน่งเกมรับ เขามาถึง 4 คน ตั้งแต่ ผู้รักษาประตู ฟลูแบ็ค ทั้ง 2 ข้าง เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มไป เกือบ 200 ล้านปอนด์ ซึ่งถ้าบวกกับขุมกำลังเดิม ที่มีอยู่แล้ว ก็ทำให้ แมนซิตี้ ในฤดูกาลนี้ แกร่งทั่วแผ่น จริงๆ ตำแหน่งเต็ง 1 ก็คงต้องยกให้กับ ทีมนี้ไปได้เลย
อันดับที่ 2 (รองแชมป์) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในความคิดเห็นของผมคือทีมที่จะมาเบียดแย่งแชมป์กับ แมนซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ด้วยยี่ห้อ และประสบการณ์ของ น้ามู เดอร์ สเปเซี่ยล วัน คงไม่มีใครที่จะไม่รู้ถึงฝีมือการคุ้มทีมของ ผจก.จอมอหังการ คนนี้ จุดเด่นของ มูรินโญ่ ไม่ใช้การปั้นนักเตะและเซตระบบ แต่มันคือ การ บริหารจัดการนักเตะ และเชี่ยวชาญในแท็กติก เฉพาะหน้า เข้ารู้ดีว่่าเกมไหน ควรจะจัดใคร และ เล่นอย่างไร เมื่อเข้าได้นักเตะที่ต้องการจากตลาดซื้อขาย ทั้ง ลูกากู และ ศิษย์เก่า อย่าง มาติก เข้ามา (ก็ไม่รู้ว่าเชลซีคิดอะไร ถึงยอมขายให้ง่ายๆ) ทำให้ทีมของเขา ติดปีกได้ทันที เพราะทั้่ง 2 คนไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก ต่างก็เคยร่วมงานกันมาก่อน จึงรู้ใจของ มูรินโญ่ เป็นอย่างดีว่าเขาต้องการอะไร ผมเองมองว่า เนมานย่า มาติก คือ กุญแจ สำคัญ ที่จะทำให้ แมนยู ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ เพราะตอนที่เขาเล่นให้กับ เชลซี มาติก คือผู้เล่น ที่รักษาสมดุลให้กับทีม ทั้งรุกและรับ เมื่อเขายืนคู่กับ กองเต้ ที่เป็นเหมือนผึ้งงาน ค่อยไล่เก็บบอล และวิ่งอยู่ตลอด ทำให้เชลซี แทบไม่มีจุดอ่อนในแดนกลางเลย เมื่อย้ายข้ามฝากมาอยู่ในปีศาจแดง คู่หูคนใหม่ แต่หน้าเก่า ที่ทำหน้าที่แทน กองเต้ ก็คือ เอเร่รา สไตล์การเล่นอาจจะต่างกันนิดหน่อย แต่ความขยันและการจ่ายบอลสวยๆ ไม่เป็นรองแน่นอน แมนยู่ จึงมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์ได้แบบยาว แต่ที่ผมมองว่าแมนยู จะเป็นอับดับสองคือ เกมรุก ที่ทาง แมนซิตี้ ดูจะมีความน่ากลัว กว่า นิดๆ จุดเปลี่ยนสำคัญ คงจะต้องดูเมื่อ 2 ทีม มาเจอกันเอง ว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน
อันดับที่ 3 ท็อตเนม ฮ็อตสเปอร์ แฟนๆบอลสเปอร์ คงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมทีมถึงไม่ซื้อนักเตะใหม่ เข้ามาเสริมทีมเลย ทั้งที่ทีมมีลุ้นแชมป์ในฤดูกาลที่แล้ว แบบนี้จะสู้ใครเขาได้เหรอ แต่ผมมองว่า สเปอร์มีทีมที่ดีและลงตัวอยู่แล้ว การซื้อนักเตะใหม่เข้ามาจำเป็นจะต้องปรับตัวอยู่พอสมควร ถ้าเราลองย้อนกลับไป ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สเปอร์ ทุ่มซื้อนักเตะเข้ามามากมายหลายคน และแทบจะไม่ได้ปล่อยนักเตะคนใดออกไปเลย จะมีก็น้อยมาก ทำให้จำนวนนักเตะที่มีเพียงพอที่จะใช้งาน รวมถึงการที่สเปอร์ต้องใช้งบประมาณในการสร้างสนามใหม่ ซึ่งผมคิดว่ามีส่วนอยู่ไม่น้อยที่ สเปอร์ต้องประหยัดงบประมาณไว้เพื่อใช้กับเรื่องนี้ แต่การไม่ได้นักเตะใหม่เข้ามา ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเล่นของสเปอร์เลย เพราะทีมที่ถูกสร้างมาจาก ระบบของ เปอร์เซตติโน่ ลงตัวและเล่นเข้าขากันเป็นอย่างดี เรียกว่ามองตาก็รู้ใจ ผมจึงยกให้สเปอร์เป็น อันดับ 3 ในฤดูกาลนี้
อันดับ 4 อาร์เซน่อล ปีนี้ ไอ้ปืนใหญ่ คงจะต้องกลับมาทวงพื้นที่ แชมป์เปี้ยนลีก คืนจากลิเวอร์พูล หลังจากพลาดไม่ได้ไปเล่นในฟุตบอลยุโรปรายการนี้ เป็นครั้งแรกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว การไม่ได้เข้าร่วมทำให้ อาร์เซน่อล สูญเสียรายได้ ไปไม่น้อย พวกเขาจำเป็นที่จะต้องกลับมาให้ได้โดยเร็ว ทุกฤดูกาลที่ผ่านมาเราคงจะพอรู้ปัญหาของ อาร์เซน่อล กันดี ว่าพวกเขาเป็นทีมที่ แผ่วปลาย หลังจาก ช่วงคริสมาส เส้นกราฟของทีมก็ดูเหมือนหัวทิ่มลง เป็นประจำทุกปี ส่วนใหญ่มาจากปัญหานักเตะบาดเจ็บ เพราะความนิยมชมชอบของ เจ๊ ที่นิยมนักเตะที่ตัวเล็ก และมีความคล่องตัวเล่นฟุตบอลบนพื้นได้ดี แต่ร่างกายบอบบาง เมื่อโดนการปะทะหนัก ก็ทำให้บาดเจ็บได้ง่าย และตัองพักยาว หลายต่อหลายคน ซึ่งเป็นปัญหาที่เจ๊แก ก็แก้ไม่ตก จึงพยายามคิดใหม่ทำใหม่ หาผู้เล่นตัวใหญ่เข้ามาบ้าง แล้วเริ่มใช้งานตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ปีนี้ก็เลือกเสริมในตำแหน่งที่ขาด และรั้งนักเตะตัวหลักเดิมเอาไว้ คงจะพอทำให้ อาร์เซน่อล พอยืนระยะได้นานๆบ้าง แต่ผมคงต้องบอกว่า คงไม่ใช้เรื่องง่ายแน่ ที่จบอันดับที่ 4 เพราะคู่แข่งที่ลุ่นเบียดแย่งตำแหน่ง ก็อริเก่า แทบทั้งสิ้น ลิเวอร์พูล ,เชลซี รวมไปถึง เอฟเวอร์ตัน ที่ได้เจ้าของใหม่ทุ่มไม่อั้น ก็จะประมาทไม่ได้เลย จุดเปลี่ยน สำคัญคงเป็นที่ นักเตะของอาร์เซน่อลเอง ถ้าตัวหลักเกิดบาดเจ็บขึ้นมาเมื่อไหร่ นั้นคือหายนะแน่อน
อันดับ 5 เชลซี แชมป์เก่า ดูจะเป็นทีมที่มีปัญหาอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว ทั้งปัญหาภายในเอง ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย ก็คือ ดิเอโก้ คอสต้า ที่ไม่ยอมย้ายไปไหนนอกจาก แอต มาดริด ทีมเดียว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ระหว่าง คอนเต้ ผจก.ทีม กับ คอสต้า มีปัญหาอะไรกัน คอนเต้ ถึงต้อง ส่งข้อความบอกว่าเขาไม่ต้องการ คอสต้า หลังจากจบฤดูกาลได้ไม่นาน ถ้าเราดูจากสถิติการแข่งขัน ของเชลซี ในฤดูกาลที่พวกเขาเป็นแชมป์ คอสต้า คือ นักเตะที่มีส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ เชลซี ได้แชมป์มาครอง ทุกเกมที่เขาได้ลงเล่น ทีมมีโอกาสชนะสูงมาก และ คอสต้า เองสามารถทำประตู สำคัญๆ ที่ทำให้ทีม พลิกกลับมาชนะ หรือ เสมอ ได้เป็นประจำ การที่ไม่มีเขาในสนามความอันตรายของเชลซีดูจะลดน้อยลง อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่า คอสต้า จะเป็นนักเตะที่สร้างปัญหา ซึ่งผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้พิศมัย กับสไตล์ของคอสต้า แต่การที่มีเขาในสนามก็ดีกว่าการให้เข้าอยู่ข้างสนาม ปัญหาของ คอสต้า ไม่ใช้ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นกับเชลซี การขาย เนมานย่า มาติก ไปให้คู่แข่ง อย่าง แมนยู คืออีกปัญหาหนึ่ง ของทีมสิงโตคราม การขายนักเตะที่ ผจก.ไม่อยากขาย มันแสดงให้เห็นว่า คอนเต้ ไม่ได้มี เอกภาพ ในการจัดการทีมของเขาเอง ทุกอย่างในทีมเขาไม่ได้เป็นคนกำหนดทิศทาง การเข้ามาแทรกแซงเรื่องการจัดการนักเตะ ทำให้ ผจก.ทีม ที่เขามี EGo สูงๆ อยู่ไม่ได้ มูรินโญ่, อันเชล็อตติ คือ ตัวอย่าง ซื้อนักเตะที่ไม่ยากซื้อ ขายนักเตะที่ไม่อยากขาย แนวทางมันไปคนละทิศละทางกันหมด และถ้าเรามองถึงจำนวน นักเตะที่ เชลซี มีอยู่ตอนนี้นั้น ดูจะน้อยเกินไป สำหรับทีม ที่มีรายการแข่งขันมากมาย หากนักเตะตัวหลักคนใดคนหนึ่งเจ็บไปอีก เหมือนอาซาร์ คิดว่า เชลซี จะต้องเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมแน่นอน แต่ยังไง ด้วยศักดิ์ศรีของแชมป์เก่า และ ประสิทธิภาพของนักเตะที่ คอนเต้ มีอยู่ในมือ คิดว่า เขาเองคงจะประคับประคอง ให้ทีมอยู่ในกลุ่มหัวตารางได้ อันดับ 5 จึงดูจะเหมาะสมกับ เชลชี แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ก่อนหรือหลังจบฤดูกาลนี้ ก็คือ อันโตนิโอ คอนเต้ คงจะอยู่กับ เชลซี ได้ไม่นาน
นี่คือทั้ง 5 อันดับของผม คงจะมีคนทักขึ้นมาบ้างละใช่มั้้ยครับ ว่า ลิเวอร์พูล หายไปไหน ก็เห็นทาง JK เขาประกาศว่า จะลุ้นแชมป์ในปีนี้ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะมาเหลากันแบบยาวๆ ในบทความหน้า ถ้าใครที่เป็นแฟน ลิเวอร์พูลก็คอยติดตามนะครับ ว่าจะเป็นยังไง ถ้าหากจะมาว่ากันในบทความนี้ก็กลัวมันจะยาวไป กลัวจะอ่านกันไม่หมด 555
ทั้ง 5 อันดับที่จัดมาต้องบอกว่า มันเป็นความคิดส่วนตัว จากการมองในภาพรวมของแต่ละทีมนะครับ ส่วนจะมีใครที่เห็นต่า่งนั้นก็ไม่ว่ากัน เชื่อว่าทุกคนก็ต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง เราอาจจะแตกต่างกันได้ แต่เราต้องไม่แตกแยก นะครับ ที่ผมเห็นตามเพจฟุตบอลดังๆต่างๆเวลามีการแสดงความคิดเห็น ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไม ต้องด่ากันด้วย ใช้ถ้อยคำแรงๆว่าให้กัน เหมือนจะฆ่ากันตาย ก็มาคิดว่าเห้ย นี่มันดูฟุตบอล หรือ ทำอะไรกันแน่ ว่ากันไปมา เพื่ออะไรครับ คนที่ชนะแล้วคิดว่าสะใจแบบนั้นเหรอครับ
แล้วจะได้อะไร ดูให้มันเป็นเกม ที่สร้างความบันเทิง สนุกสนาน ให้กับเราได้ผ่อนคลายดีกว่าจะดูให้มันมาทำลายเราดีกว่านะครับ ฝากเอาไว้.....
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สเปน ดินแดนสวรรค์ ความฝันของ นักเตะ อเมริกาใต้
สวัสดี วันแม่แห่งชาติ ครับทุกท่าน ในขณะที่ผมเขียน บทความนี้ คงมีหลายท่านที่ได้อยู่กับคุณแม่ และ ก็คงมีอีกหลายท่าน ที่ไม่มีเวลาจะไปหา แต่ก็ไม่เป็นไรครับถึงจะไม่ได้อยู่ด้วย ก็ขอให้คิดถึงท่าน หมั่นโทรไปหา ทุกวัน ผมคิดว่าเท่านี้ท่านก็พอใจแล้ว ที่สำคัญอย่าให้ความสำคัญกับวันนี้เพียงวันเดียว ควรทำให้ทุกวันเป็นวันแม่ เหมือนกับที่แม่ทำทุกวันให้เป็นวันลูกนะครับ
มาว่ากันในเรื่องของเราในบทความนี้ ตามหัวเรื่อง "สเปน ดินแดนสวรรค์ของนักเตะ อเมริกาใต้" จริงหรือ? หลังจากที่ บาร์เซโลน่า ตกลงขาย เนย์มาร์ ให้กับ PSG ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก 222 ล้าน ยูโร ไม่ต้องไปคำนวนให้ปวดหัวนะครับ รู้ไว้ก็พอ ว่ามันเยอะมากๆ สำหรับนักเตะคนหนึ่งจะมีค่าได้ ก็ส่งผลกระทบ เป็น โดมิโน ไปยังสโมสรอื่นๆ ที่ทาง บาร์ซ่า สนใจจะ นำนักเตะเข้ามาเพื่อทดแทน เนย์มาร์ มีทั้ง อุสมา เดมเบเล่ ของ ดอร์ทมุน ทีมดังเมืองเบียร์
เอเดน อาร์ซา ของ สิงโตน้ำเงิน อังกฤษ แต่ที่มีความเคลื่อนไหว และได้ดำเนินการอย่างจริงจังที่สุด ก็คือ ดึล ของ ฟิลิเป้ คูตินโญ่ นักเตะ ลิเวอร์พูล ซึ่งทีมยักษ์ใหญ่ คาตาลัน ได้ทำทุกวิถีทาง เพื่อกดดันให้ ลิเวอร์พูล ยอมขายนักเตะให้ ทั้งการประโคมข่าว ในสื่อของสเปน และ การบินมาเจรจา ด้วยตัวเองกับทางสโมสร ตามภาพข่าวที่ออกมา จากหลายสำนัก เช่น SKY sport ,BBC และ ทางสื่อของ ลิเวอร์พูลเอง
คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า บาร์เซโลน่า คือ สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากมาย และเป็นความใฝ่ฝันของนักเตะหลายคน ที่อยากไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะ นักเตะที่มาจาก ทวีป อเมริกาใต้ เช่น บราซิล, อาร์เจนติน่า อุรุกวัย เป็นต้น นอกจากที่เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากมายแล้ว บาร์ซ่า ยังอุดมไปด้วยนักเตะระดับโลก ของวงการฟุตบอล มากมาย โดยเฉพาะนักเตะที่เป็นแม่เหล็ก และเป็นเหมือน สัญญาลักษณ์ ของสโมสร ไปแล้ว อย่าง ลิโอ แมสซี่ ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่ก็อยากมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ที่ได้ร่วมเล่น กับนักเตะ อัฉริยะ อย่างเขา
ฟิลลิป คูตินโญ่ คือนักเตะ คนล่าสุด ที่อยากขายวิณญาณ ให้กับ บาร์เซโลน่า ถ้าผมจำไม่ผิด ช่วงที่เขามีข่าวกับ บาร์ซ่า ใหม่ๆ เขาเองเคยบอกกับสื่อว่า "เขาอยากเป็นตำนานให้กับทีมๆหนึ่งให้คนพูดถึง มากว่า ยอมไปเป็นนักเตะ คนหนึ่งในทีม" ซึ่งเป็นคำพูดที่ได้ใจจาก เหล่า เดอร์ค็อปไปเต็มๆ หากเราคิดตามมันคือถ้อยคำ ที่แฝงไปด้วยความรู้สึก ของการจงรักภักดี หรือ ที่คำฝรั่งเขาเรียกว่า Royalty กับสโมสร ที่ชุปเลี้ยงตัวเขาให้เติบโต มามีชื่อเสียง อย่างทุกวันนี้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะคำพูดของคน ทีี่มันง่ายแค่พลิกลิ้น ขอประเด็นนี้เรามาว่ากันในบทความหน้า เดี๋ยวออกนอกประเด็นนี้ไปไกล 5555
กลับมาที่เรื่อง สเปน หากเราจะมาวิเคราะห์กันจริงแล้ว คงไม่ใช้ มีแค่ แมสซี่ เพียงอย่างเดียว ที่ทำให้นักเตะ อเมริกาใต้ ใฝ่ฝันอย่างไปอยู่ สเปน เรามาลองดูกันครับว่า มีปัจจัย อะไรกันบ้าง ที่ทำให้พวกเขาอยากย้ายไปอยู่ที่สเปน
1.ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น แนะนอนครับ เมื่อมีการโยกย้ายทีมเกิดขึ้น แต่ละครั้ง ตัวนักเตะเองต้องได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้น กว่าเดิม นักเตะจึงจะต้องการย้าย หากไม่ได้มีปัญหากับทีม ด้วยอายุของอาชีพที่สั้น นักเตะจึงมองประเด็นของรายได้ เป็นหลัก ในการตัดสินใจ ยกเว้น นักเตะที่เริ่มอายุมากและรวยรา
2.ภาษี เรื่องนี้ขอย้อนกลับไปประมาณ ปี 2 ปีที่แล้วนะครับ จากที่ทราบมา ภาษี รายได้ส่วนบุคคลในแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากัน ที่ประเทศสเปน จะมีอัตราการเก็บภาษี/ปี อยู่ที่ 43% ของรายได้ทั้งหมด (ก่อนปรับใหม่ เป็น 52% /ปี) ซึ่งในอังกฤษ จะมีอัตราอยู่ที่ 45% ซึ่งมากกว่า ในข้อนี้ คงจะตกไปใน กรณีของ คูตี้ ครับ แต่หากใครที่ได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฟุตบอลมาตลอดจะเห็นว่า ในสเปน จะมีข่าวกรณี นักเตะ ดังๆหลายคน ที่โดนข้อหา เลี่ยงภาษี แมสซี่ ,โรนัลโด้ โดนหมด เราจึงเห็น เจ็ทโด้ ดิ้นหนีออกจากชุดขาว เพราะเขาไม่เคยโดนข้อหานี้ตอนที่อยู่อังกฤษ เมื่อต้องมาโดนย้อนหลังแบบนี้เราอาจจะได้เห็นสตาร์ดังหลายคน ออกจากสเปน อ้าวสรุปแล้ว มันเป็นข้อดีหรือข้อเสียกันแน่ละแบบนี้ 555
3.วัฒนธรรม และ ภาษา ในประเทศสเปน มีวัฒนธรรม ที่ใกล้เคียง กับ อเมริกาใต้ และใช้ ภาษาที่เหมือนกัน บวกกับ สภาพอากาศและภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกัน ทำให้นักเตะที่มาจากอเมริกาใต้ ปรับตัวได้ง่าย หรือ แทบจะไม่ต้องปรับตัวเลย ต่างจากประเทศอังกฤษ ที่มีฝนตกซุกตลอดทั้งปี แถมยังมีโปรแกรมการแข่งขัน ที่ต่อเนื่องไม่มีการพัก ในฤดูหนาว ซึ่งมันส่งผลทำให้นักเตะที่มาจากสภาพอากาศคนละแบบปรับตัวได้ลำบาก และมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บยาวๆ ได้ง่าย
4.ครอบครัว เราเองก็คงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ครอบครัวคือส่่ิงที่สำคัญที่สุด ของทุกคน นักเตะเองก็เช่นกัน ถึงจะมีความรักในสโมสร ที่อยู่ด้วยขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช้ คนท้องถิ่น เกิด และ เติบโต ที่นั่น หากครอบครัวไม่มีความสุขแล้ว ก็ต้องยอมละทิ้งในส่ิงที่รักไป เพื่อแลกกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
5.การได้ยกระดับตัวเอง นักเตะจำเป็นต้องมีการพัฒนา เพื่อขึ้นไปถึงจุดที่เป็นสุดยอดของอาชีพตัวเอง การได้อยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับโลกมากมาย มันจะทำให้ตัวเองได้พัฒนาไปด้วย
ซึ่งก็จะตรงกับ คำที่ว่า หากคุณยังทำอะไรแบบเดิมๆ ก็ไม่มีทางที่จะได้ผลลัพท์ใหม่ ซึ่งก็เป็นความจริงที่ต้องเข้าใจ ประเด็นนี้ก็มีหลายคนที่อยากจะพัฒนาจริงๆ และก็มีอีกหลายคนที่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างในการย้ายทีมเฉยๆ
6.หนี้ความดุเดือด เลือดพล่าน ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คือ ลีกฟุตบอลอันดับ 1 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก เพราะสไตล์การเล่นที่ดุเดือด เร้าใจ ตื่นเต้น ทุกนาที มีเล่นที่รวดเร็ว หนักหน่วง ถึงลูกถึงคนชนิดที่ว่า ไม่มีเวลาได้หายใจ ซึ่งต่างจาก สเปน หรือ ใน อิตาลี ที่จะเน้นเรื่องแท็กติค มากกว่า จะแลกกันแบบเอาเป็นเอาตาย เกมที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะ ค่อยเป็นค่อยไป ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ถ่ายบอลไปเรื่อย ซึ่งมันเป็นสไตล์ที่นักเตะ ฝั่งอเมริกาใต้ชอบ เพราะได้โชว์ลีลาแซมบ้าได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่า ขาจะหักหรือเปล่า รวมถึง สภาพร่างกายของพวกเขายังค่อนข้างที่จะบอบบ้าง ซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักเตะที่มี ทักษะ ลีลา และความเร็ว จะตัวเล็กๆ ไม่ต่างอะไรกับคนไทย เลย
ผมลองคิดเล่นว่า ถ้า แมสซี่ ย้ายมาเล่น ในอังกฤษ บ้างจะเป็นอย่างไร เขายังจะยิงได้ 40-50 ประตูต่อฤดูกาล ได้รึเปล่า เราจะเห็นเขาเลี้ยงบอลผ่าน 4-5 คนได้มั้ย ในอังกฤษ หรือ จะจอดที่ 2 คนแล้วโดนเตะกระจาย อันนี้อยากเห็นมากๆ
ปัจจัยทั้ง 6 ข้อ จากทัศนะของผมเป็นยังไงบ้างครับ ตรงกับที่หลายคนคิดไว้ รึเปล่า สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือว่า การกระทำทุกอย่างของมนุษย์ มันมาจากแรงขับเคลื่อนที่มาจากภายใน แทบทั้งสิ้น ทุกอย่าง ย่อมมีเหตุและมีผลของมันเสมอ ดังนั้น เราไม่ควรตัดสินใคร เพียงเพราะเรารับรู้เรื่องราวของเขาแค่เพียงภายนอก แต่ให้เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า เขาทำแบบนั้นทำไม จนกว่าเราจะได้อยู่ในสถานการณ์นั้น
"สวรรค์ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ที่เราคิด ดังสุภาษิตไทย ที่ว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" คนมีบ้านใหญ่โต ก็ใช่ว่าจะมีความสุข มากกว่า คนที่อยู่กระต๊อบเล็กๆ หากใจเป็นทุกข์ คฤหาสถ์หรู ก็สามารถเป็น นรกได้"
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Kurubanban
มาว่ากันในเรื่องของเราในบทความนี้ ตามหัวเรื่อง "สเปน ดินแดนสวรรค์ของนักเตะ อเมริกาใต้" จริงหรือ? หลังจากที่ บาร์เซโลน่า ตกลงขาย เนย์มาร์ ให้กับ PSG ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก 222 ล้าน ยูโร ไม่ต้องไปคำนวนให้ปวดหัวนะครับ รู้ไว้ก็พอ ว่ามันเยอะมากๆ สำหรับนักเตะคนหนึ่งจะมีค่าได้ ก็ส่งผลกระทบ เป็น โดมิโน ไปยังสโมสรอื่นๆ ที่ทาง บาร์ซ่า สนใจจะ นำนักเตะเข้ามาเพื่อทดแทน เนย์มาร์ มีทั้ง อุสมา เดมเบเล่ ของ ดอร์ทมุน ทีมดังเมืองเบียร์
เอเดน อาร์ซา ของ สิงโตน้ำเงิน อังกฤษ แต่ที่มีความเคลื่อนไหว และได้ดำเนินการอย่างจริงจังที่สุด ก็คือ ดึล ของ ฟิลิเป้ คูตินโญ่ นักเตะ ลิเวอร์พูล ซึ่งทีมยักษ์ใหญ่ คาตาลัน ได้ทำทุกวิถีทาง เพื่อกดดันให้ ลิเวอร์พูล ยอมขายนักเตะให้ ทั้งการประโคมข่าว ในสื่อของสเปน และ การบินมาเจรจา ด้วยตัวเองกับทางสโมสร ตามภาพข่าวที่ออกมา จากหลายสำนัก เช่น SKY sport ,BBC และ ทางสื่อของ ลิเวอร์พูลเอง
คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า บาร์เซโลน่า คือ สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากมาย และเป็นความใฝ่ฝันของนักเตะหลายคน ที่อยากไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะ นักเตะที่มาจาก ทวีป อเมริกาใต้ เช่น บราซิล, อาร์เจนติน่า อุรุกวัย เป็นต้น นอกจากที่เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากมายแล้ว บาร์ซ่า ยังอุดมไปด้วยนักเตะระดับโลก ของวงการฟุตบอล มากมาย โดยเฉพาะนักเตะที่เป็นแม่เหล็ก และเป็นเหมือน สัญญาลักษณ์ ของสโมสร ไปแล้ว อย่าง ลิโอ แมสซี่ ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่ก็อยากมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ที่ได้ร่วมเล่น กับนักเตะ อัฉริยะ อย่างเขา
ฟิลลิป คูตินโญ่ คือนักเตะ คนล่าสุด ที่อยากขายวิณญาณ ให้กับ บาร์เซโลน่า ถ้าผมจำไม่ผิด ช่วงที่เขามีข่าวกับ บาร์ซ่า ใหม่ๆ เขาเองเคยบอกกับสื่อว่า "เขาอยากเป็นตำนานให้กับทีมๆหนึ่งให้คนพูดถึง มากว่า ยอมไปเป็นนักเตะ คนหนึ่งในทีม" ซึ่งเป็นคำพูดที่ได้ใจจาก เหล่า เดอร์ค็อปไปเต็มๆ หากเราคิดตามมันคือถ้อยคำ ที่แฝงไปด้วยความรู้สึก ของการจงรักภักดี หรือ ที่คำฝรั่งเขาเรียกว่า Royalty กับสโมสร ที่ชุปเลี้ยงตัวเขาให้เติบโต มามีชื่อเสียง อย่างทุกวันนี้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะคำพูดของคน ทีี่มันง่ายแค่พลิกลิ้น ขอประเด็นนี้เรามาว่ากันในบทความหน้า เดี๋ยวออกนอกประเด็นนี้ไปไกล 5555
กลับมาที่เรื่อง สเปน หากเราจะมาวิเคราะห์กันจริงแล้ว คงไม่ใช้ มีแค่ แมสซี่ เพียงอย่างเดียว ที่ทำให้นักเตะ อเมริกาใต้ ใฝ่ฝันอย่างไปอยู่ สเปน เรามาลองดูกันครับว่า มีปัจจัย อะไรกันบ้าง ที่ทำให้พวกเขาอยากย้ายไปอยู่ที่สเปน
1.ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น แนะนอนครับ เมื่อมีการโยกย้ายทีมเกิดขึ้น แต่ละครั้ง ตัวนักเตะเองต้องได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้น กว่าเดิม นักเตะจึงจะต้องการย้าย หากไม่ได้มีปัญหากับทีม ด้วยอายุของอาชีพที่สั้น นักเตะจึงมองประเด็นของรายได้ เป็นหลัก ในการตัดสินใจ ยกเว้น นักเตะที่เริ่มอายุมากและรวยรา
2.ภาษี เรื่องนี้ขอย้อนกลับไปประมาณ ปี 2 ปีที่แล้วนะครับ จากที่ทราบมา ภาษี รายได้ส่วนบุคคลในแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากัน ที่ประเทศสเปน จะมีอัตราการเก็บภาษี/ปี อยู่ที่ 43% ของรายได้ทั้งหมด (ก่อนปรับใหม่ เป็น 52% /ปี) ซึ่งในอังกฤษ จะมีอัตราอยู่ที่ 45% ซึ่งมากกว่า ในข้อนี้ คงจะตกไปใน กรณีของ คูตี้ ครับ แต่หากใครที่ได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฟุตบอลมาตลอดจะเห็นว่า ในสเปน จะมีข่าวกรณี นักเตะ ดังๆหลายคน ที่โดนข้อหา เลี่ยงภาษี แมสซี่ ,โรนัลโด้ โดนหมด เราจึงเห็น เจ็ทโด้ ดิ้นหนีออกจากชุดขาว เพราะเขาไม่เคยโดนข้อหานี้ตอนที่อยู่อังกฤษ เมื่อต้องมาโดนย้อนหลังแบบนี้เราอาจจะได้เห็นสตาร์ดังหลายคน ออกจากสเปน อ้าวสรุปแล้ว มันเป็นข้อดีหรือข้อเสียกันแน่ละแบบนี้ 555
3.วัฒนธรรม และ ภาษา ในประเทศสเปน มีวัฒนธรรม ที่ใกล้เคียง กับ อเมริกาใต้ และใช้ ภาษาที่เหมือนกัน บวกกับ สภาพอากาศและภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกัน ทำให้นักเตะที่มาจากอเมริกาใต้ ปรับตัวได้ง่าย หรือ แทบจะไม่ต้องปรับตัวเลย ต่างจากประเทศอังกฤษ ที่มีฝนตกซุกตลอดทั้งปี แถมยังมีโปรแกรมการแข่งขัน ที่ต่อเนื่องไม่มีการพัก ในฤดูหนาว ซึ่งมันส่งผลทำให้นักเตะที่มาจากสภาพอากาศคนละแบบปรับตัวได้ลำบาก และมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บยาวๆ ได้ง่าย
4.ครอบครัว เราเองก็คงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ครอบครัวคือส่่ิงที่สำคัญที่สุด ของทุกคน นักเตะเองก็เช่นกัน ถึงจะมีความรักในสโมสร ที่อยู่ด้วยขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช้ คนท้องถิ่น เกิด และ เติบโต ที่นั่น หากครอบครัวไม่มีความสุขแล้ว ก็ต้องยอมละทิ้งในส่ิงที่รักไป เพื่อแลกกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
5.การได้ยกระดับตัวเอง นักเตะจำเป็นต้องมีการพัฒนา เพื่อขึ้นไปถึงจุดที่เป็นสุดยอดของอาชีพตัวเอง การได้อยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับโลกมากมาย มันจะทำให้ตัวเองได้พัฒนาไปด้วย
ซึ่งก็จะตรงกับ คำที่ว่า หากคุณยังทำอะไรแบบเดิมๆ ก็ไม่มีทางที่จะได้ผลลัพท์ใหม่ ซึ่งก็เป็นความจริงที่ต้องเข้าใจ ประเด็นนี้ก็มีหลายคนที่อยากจะพัฒนาจริงๆ และก็มีอีกหลายคนที่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างในการย้ายทีมเฉยๆ
6.หนี้ความดุเดือด เลือดพล่าน ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คือ ลีกฟุตบอลอันดับ 1 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก เพราะสไตล์การเล่นที่ดุเดือด เร้าใจ ตื่นเต้น ทุกนาที มีเล่นที่รวดเร็ว หนักหน่วง ถึงลูกถึงคนชนิดที่ว่า ไม่มีเวลาได้หายใจ ซึ่งต่างจาก สเปน หรือ ใน อิตาลี ที่จะเน้นเรื่องแท็กติค มากกว่า จะแลกกันแบบเอาเป็นเอาตาย เกมที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะ ค่อยเป็นค่อยไป ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ถ่ายบอลไปเรื่อย ซึ่งมันเป็นสไตล์ที่นักเตะ ฝั่งอเมริกาใต้ชอบ เพราะได้โชว์ลีลาแซมบ้าได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่า ขาจะหักหรือเปล่า รวมถึง สภาพร่างกายของพวกเขายังค่อนข้างที่จะบอบบ้าง ซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักเตะที่มี ทักษะ ลีลา และความเร็ว จะตัวเล็กๆ ไม่ต่างอะไรกับคนไทย เลย
ผมลองคิดเล่นว่า ถ้า แมสซี่ ย้ายมาเล่น ในอังกฤษ บ้างจะเป็นอย่างไร เขายังจะยิงได้ 40-50 ประตูต่อฤดูกาล ได้รึเปล่า เราจะเห็นเขาเลี้ยงบอลผ่าน 4-5 คนได้มั้ย ในอังกฤษ หรือ จะจอดที่ 2 คนแล้วโดนเตะกระจาย อันนี้อยากเห็นมากๆ
ปัจจัยทั้ง 6 ข้อ จากทัศนะของผมเป็นยังไงบ้างครับ ตรงกับที่หลายคนคิดไว้ รึเปล่า สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือว่า การกระทำทุกอย่างของมนุษย์ มันมาจากแรงขับเคลื่อนที่มาจากภายใน แทบทั้งสิ้น ทุกอย่าง ย่อมมีเหตุและมีผลของมันเสมอ ดังนั้น เราไม่ควรตัดสินใคร เพียงเพราะเรารับรู้เรื่องราวของเขาแค่เพียงภายนอก แต่ให้เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า เขาทำแบบนั้นทำไม จนกว่าเราจะได้อยู่ในสถานการณ์นั้น
"สวรรค์ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ที่เราคิด ดังสุภาษิตไทย ที่ว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" คนมีบ้านใหญ่โต ก็ใช่ว่าจะมีความสุข มากกว่า คนที่อยู่กระต๊อบเล็กๆ หากใจเป็นทุกข์ คฤหาสถ์หรู ก็สามารถเป็น นรกได้"
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Kurubanban
วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เมื่อเงินสำคัญกว่าทุกสิ่ง
2-3 วันมานี้ ถ้าใครได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายนักเตะ ที่เป็นกระแสมากที่สุด คงจะเป็นข่าวการย้ายทีมของนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ อย่าง Neymar ของ บาร์เซโลน่า ที่กำลังจะออกจากทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน ไปสู่อ้อมกอด ของ ทีมเศรษฐีของฝรั่งเศส PSG ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ มีข่าวว่าใกล้ที่จะจรดปากกาเซ็นต์สัญญาเต็มทีแล้ว
แต่ก่อนที่จะมีข่าวว่า เนย์มาร์ ใกล้ที่จะย้ายทีมแน่ ก็มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะ รวมถึง พฤติกรรมของ เนย์มาร์ ที่ดูเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน การทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมขณะฝึกซ้อม จนเป็นข่าวใหญ่ ทั้งที่เนย์มา ไม่เคยมีพฤติกรรม แบบนี้ออกมาให้เห็น มาก่อนหน้านี้เลย อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ นักเตะระดับซุปตาร์ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาแทนที่ นักเตะ ซุปเปอร์สตาร์รุ่นพี่ อย่าง แมสซี่ และ โรนัลโด้ ในอีกไม่นานนี้ ถึงเลือกที่จะออกจากทีม ที่เรียกว่าดีที่สุด และ เป็นทีมที่เป็นความใฝ่ฝันของนักเตะระดับแนวหน้าหลายคน อยากไปเล่นให้
ก่อนที่จะมาสเปน เนย์มา เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อในตอนที่เขายังเป็นนักเตะดาวรุ่ง ว่าทีมที่เขาอยากไปเล่นให้ คือ รีล มาดริด แต่สุดท้าย เขาเองกลับเลือกที่จะไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า แทนซะงั้น ทั้งที่ ยักษ์ใหญ่ทั้งสองทีม ของสเปน ก็หมายปอง ตัวเขาทั้งคู่
"บาร์เซโลน่า" คือ ทีมที่มีฉายาว่าเจ้าบุญทุ่ม (ไม่รู้ใครตั้งให้นะ) คือทีมที่นักเตะหลายคนใฝ่ฝัน โดยเฉพาะนักเตะที่มาจาก อเมริกาใต้ เป็นทีมที่มี ทั้งเงิน ความสำเร็จ เกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ มีนักเตะระดับซุุปตาร์มากมาย อยู่ในทีม รวมถึงมีสไตล์การเล่น ที่เข้ากับนักเตะอเมริกาใต้ได้เป็นอย่างดี หากนักเตะคนไหนได้ย้ายไปอยู่กับทีมจากต่างดาวทีมนี้แล้ว คงไม่คิดหนี้ไปไหน ยกเว้นว่านักเตะไม่เป็นที่ต้องของทีมเท่านั้น แต่กรณี ของ เนย์มาร์ ต่างออกไป ผมคิดว่า คงไม่มี ผจก.คนไหน ที่ไม่ต้องการ นักเตะ แบบ เนย์มา ไว้ในทีมของตัวเอง ดังนั้นการที่ เนย์มา ย้ายออก จึงไม่ใช้ความต้องการของ ผจก.ทีม แล้วอะไรละจึงเป็นสาเหตุของการย้ายทีม ที่กำลังจะเป็นสถิติโลก ครั้งนี้ เราลองมาวิเคราะห์กันเล่น นะครับ
1.เงิน ตัวเดียวเท่านั้น เนย์มาร์ ต้องได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่า ที่เขาได้รับจาก บาร์ซ่า ในตอนนี้ และอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ คือ ส่วนแบ่งในการซื้อ-ขาย ที่นักเตะจะได้รับ คิดเป็นเปอร์เซ็นตฺ์แล้วแต่สัญญาที่ ระบุเอาไว้ นั้นหมายความว่า ถ้า บาร์ซ่า ขายเนย์มา ให้กับ PSG ได้ราคาแพงมากเท่าไหร่ เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ วินๆ ทั้ง 2 ฝ่าย อันนี้ต้องเข้าใจอาชีพนักฟุตบอลเป็นอาชีพ ระยะสั้น โกยได้ต้องรีบโกย ครับ
2.ลีโอ ยังอยู่ MSN คือ ชื่อเรียก 3 กองหน้ามหาเทพของ บาร์เซโลน่า ทั้ง 3 คน แมสซี่ ,ซัวเรส และ เนย์มาร์ ยิงร่วมกันในแต่ละ ฤดูกาลเป็น ร้อยๆ ลูก ด้วยเซนต์บอลที่ทันกัน จึงมีการประสานงานที่ดีและเข้าใจ ทำให้ทั้ง 3 คน ผลัดกันยิงประตูคู่ต่อสู้อย่างถล่มทลาย แต่ตราบใดที่ แมสซี่ ยังอยู่ เนย์มาร์ เองก็ไม่มีวันได้เป็นเบอร์ 1 ของทีม ถ้าเราจะนึก ทีม บาร์เซโลน่า เราจะนึกถึงใคร ไม่ใช่ เนร์มา และ ซัวเรส แน่นอน
เหมือนเรานึกถึงลิเวอร์พูล ก็จะถึงเจอร์ราด แมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า แทบจะแยกกันไม่ออก
3.อิ่มตัวกับการเล่นในสเปน เราคงจะพอรู้นะครับว่าในสเปน มีเพียง 2 ทีม เท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกัน คือ บาร์ซ่า และ มาดริด นอกเนื้อจากนั้นคือทีมระดับรองลงมา โอกาสที่ทีมอื่นๆ จะขึ้นมาเป็นแชมป์ได้ยากเหลือเกิน จะมีบ้างก็ไม่ได้บ่อยอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็น 2 ทีมนี้ที่แย่งแชมป์กันทุกปี เนย์มา ประสบความสำเร็จกับ บาร์ซ่า มามากมายนับตั้งแต่เข้าย้ายมาอยู่ บางที่เขาอาจจะหมดความท้าทายกับฟุตบอลในสเปนแล้วก็เป็นได้ อันนี้คิดเอานะครับ555 การได้ย้ายไปเล่นในประเทศใหม่ ลีกใหม่ อาจจะทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้นก็เป็นได้ ถึงแม้ว่า จะเป็นลีกระดับรองลงมา แต่อย่าลืมว่า ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ลีกเอิง ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นอย่างมาก จากการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ มหาเศรษฐีอาหรับ มีหลายทีมที่ยกระดับตัวเองมาอยู่ชั้นแนวหน้าของทวีปยุโรป หลายทีม PSG ,โมนาโก (ช่วงนี้เงินคงหมดขายนักเตะเพียบ) นีช ร่วมไปถึง ลียง ที่เคยเป็นมหาอำนาจ และ มาร์กเซย ต่างเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่มาก่อนในฝรั่งเศส
การย้ายทีม ของ เนย์มาร์ ครั้งนี้จะได้ย้ายจริงๆ หรือ ไม่ย้ายในท้ายที่สุด เราก็ไม่อาจจะร่วงรู้ได้
แต่สิ่งที่เราต้องมาคิดวิเคราะห์กันว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา ต้องการอะไรกันแน่ บางทีเรามองจากภายนอก คิดว่าเป็นแบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนแปลงทำไม ความจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้
มนุษย์เราจะแสวงหาความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด มีแล้วก็ยังอยากมีเพิ่ม จนไม่รู้ว่าจุดอิ่มตัวมันอยู่
ตรงไหน แล้วอะไรละที่เป็นความสุขที่แท้จริง..................
#Neymar
#Cap.Rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
แต่ก่อนที่จะมีข่าวว่า เนย์มาร์ ใกล้ที่จะย้ายทีมแน่ ก็มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะ รวมถึง พฤติกรรมของ เนย์มาร์ ที่ดูเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน การทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมขณะฝึกซ้อม จนเป็นข่าวใหญ่ ทั้งที่เนย์มา ไม่เคยมีพฤติกรรม แบบนี้ออกมาให้เห็น มาก่อนหน้านี้เลย อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ นักเตะระดับซุปตาร์ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาแทนที่ นักเตะ ซุปเปอร์สตาร์รุ่นพี่ อย่าง แมสซี่ และ โรนัลโด้ ในอีกไม่นานนี้ ถึงเลือกที่จะออกจากทีม ที่เรียกว่าดีที่สุด และ เป็นทีมที่เป็นความใฝ่ฝันของนักเตะระดับแนวหน้าหลายคน อยากไปเล่นให้
ก่อนที่จะมาสเปน เนย์มา เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อในตอนที่เขายังเป็นนักเตะดาวรุ่ง ว่าทีมที่เขาอยากไปเล่นให้ คือ รีล มาดริด แต่สุดท้าย เขาเองกลับเลือกที่จะไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า แทนซะงั้น ทั้งที่ ยักษ์ใหญ่ทั้งสองทีม ของสเปน ก็หมายปอง ตัวเขาทั้งคู่
"บาร์เซโลน่า" คือ ทีมที่มีฉายาว่าเจ้าบุญทุ่ม (ไม่รู้ใครตั้งให้นะ) คือทีมที่นักเตะหลายคนใฝ่ฝัน โดยเฉพาะนักเตะที่มาจาก อเมริกาใต้ เป็นทีมที่มี ทั้งเงิน ความสำเร็จ เกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ มีนักเตะระดับซุุปตาร์มากมาย อยู่ในทีม รวมถึงมีสไตล์การเล่น ที่เข้ากับนักเตะอเมริกาใต้ได้เป็นอย่างดี หากนักเตะคนไหนได้ย้ายไปอยู่กับทีมจากต่างดาวทีมนี้แล้ว คงไม่คิดหนี้ไปไหน ยกเว้นว่านักเตะไม่เป็นที่ต้องของทีมเท่านั้น แต่กรณี ของ เนย์มาร์ ต่างออกไป ผมคิดว่า คงไม่มี ผจก.คนไหน ที่ไม่ต้องการ นักเตะ แบบ เนย์มา ไว้ในทีมของตัวเอง ดังนั้นการที่ เนย์มา ย้ายออก จึงไม่ใช้ความต้องการของ ผจก.ทีม แล้วอะไรละจึงเป็นสาเหตุของการย้ายทีม ที่กำลังจะเป็นสถิติโลก ครั้งนี้ เราลองมาวิเคราะห์กันเล่น นะครับ
1.เงิน ตัวเดียวเท่านั้น เนย์มาร์ ต้องได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่า ที่เขาได้รับจาก บาร์ซ่า ในตอนนี้ และอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ คือ ส่วนแบ่งในการซื้อ-ขาย ที่นักเตะจะได้รับ คิดเป็นเปอร์เซ็นตฺ์แล้วแต่สัญญาที่ ระบุเอาไว้ นั้นหมายความว่า ถ้า บาร์ซ่า ขายเนย์มา ให้กับ PSG ได้ราคาแพงมากเท่าไหร่ เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ วินๆ ทั้ง 2 ฝ่าย อันนี้ต้องเข้าใจอาชีพนักฟุตบอลเป็นอาชีพ ระยะสั้น โกยได้ต้องรีบโกย ครับ
2.ลีโอ ยังอยู่ MSN คือ ชื่อเรียก 3 กองหน้ามหาเทพของ บาร์เซโลน่า ทั้ง 3 คน แมสซี่ ,ซัวเรส และ เนย์มาร์ ยิงร่วมกันในแต่ละ ฤดูกาลเป็น ร้อยๆ ลูก ด้วยเซนต์บอลที่ทันกัน จึงมีการประสานงานที่ดีและเข้าใจ ทำให้ทั้ง 3 คน ผลัดกันยิงประตูคู่ต่อสู้อย่างถล่มทลาย แต่ตราบใดที่ แมสซี่ ยังอยู่ เนย์มาร์ เองก็ไม่มีวันได้เป็นเบอร์ 1 ของทีม ถ้าเราจะนึก ทีม บาร์เซโลน่า เราจะนึกถึงใคร ไม่ใช่ เนร์มา และ ซัวเรส แน่นอน
เหมือนเรานึกถึงลิเวอร์พูล ก็จะถึงเจอร์ราด แมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า แทบจะแยกกันไม่ออก
3.อิ่มตัวกับการเล่นในสเปน เราคงจะพอรู้นะครับว่าในสเปน มีเพียง 2 ทีม เท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกัน คือ บาร์ซ่า และ มาดริด นอกเนื้อจากนั้นคือทีมระดับรองลงมา โอกาสที่ทีมอื่นๆ จะขึ้นมาเป็นแชมป์ได้ยากเหลือเกิน จะมีบ้างก็ไม่ได้บ่อยอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็น 2 ทีมนี้ที่แย่งแชมป์กันทุกปี เนย์มา ประสบความสำเร็จกับ บาร์ซ่า มามากมายนับตั้งแต่เข้าย้ายมาอยู่ บางที่เขาอาจจะหมดความท้าทายกับฟุตบอลในสเปนแล้วก็เป็นได้ อันนี้คิดเอานะครับ555 การได้ย้ายไปเล่นในประเทศใหม่ ลีกใหม่ อาจจะทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้นก็เป็นได้ ถึงแม้ว่า จะเป็นลีกระดับรองลงมา แต่อย่าลืมว่า ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ลีกเอิง ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นอย่างมาก จากการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ มหาเศรษฐีอาหรับ มีหลายทีมที่ยกระดับตัวเองมาอยู่ชั้นแนวหน้าของทวีปยุโรป หลายทีม PSG ,โมนาโก (ช่วงนี้เงินคงหมดขายนักเตะเพียบ) นีช ร่วมไปถึง ลียง ที่เคยเป็นมหาอำนาจ และ มาร์กเซย ต่างเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่มาก่อนในฝรั่งเศส
การย้ายทีม ของ เนย์มาร์ ครั้งนี้จะได้ย้ายจริงๆ หรือ ไม่ย้ายในท้ายที่สุด เราก็ไม่อาจจะร่วงรู้ได้
แต่สิ่งที่เราต้องมาคิดวิเคราะห์กันว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา ต้องการอะไรกันแน่ บางทีเรามองจากภายนอก คิดว่าเป็นแบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนแปลงทำไม ความจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้
มนุษย์เราจะแสวงหาความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด มีแล้วก็ยังอยากมีเพิ่ม จนไม่รู้ว่าจุดอิ่มตัวมันอยู่
ตรงไหน แล้วอะไรละที่เป็นความสุขที่แท้จริง..................
#Neymar
#Cap.Rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
เอฟเวอร์ตัน มิติใหม่
ช่วงนี้ตลาด ซื้อ-ขาย นักเตะกำลังคึกคัก กันอย่างมาก ทีมยักษ์ใหญ่หลายๆทีมต่างขยับตัว ไล่ล่านักเตะที่ตัวเองต้องการ มาไว้ในครอบครอง ซึ่งบางทีม ก็สมหวัง บางทีมก็ผิดหวัง ปัจจัยสำคัญในการ ซื้อขาย ก็คงหนี้ไม่พ้น เรื่องของเงิน ณ เวลานี้ ทีมที่ ซื้อนักเตะเข้ามามากที่สุด คงจะเป็นทีมไหนไม่ได้ นอกจากทีม เศรษฐีใหม่ อย่าง เอฟเวอร์ตัน ที่ได้ ฟาร์ฮัด โมชิริ นักธุรกิจ สายเลือด อิหร่าน เข้ามา
เทกโอเวอร์ สโมสร ซึ่งเขาเองพร้อมที่จะสนับสนุน โรนัล คูมัน ผจก.ทีม ให้นำ เอฟเวอร์ตัน ท้าทายทีม ท็อป 6 ของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้า
เวนย์ รูนี่ อดีตเด็กปั้นของสโมสร คือ นักเตะคนล่าสุด ที่ย้ายกลับมาเล่นให้กับทีม หลังจากที่
เอฟเวอร์ตัน ได้นักเตะ มาแล้ว 5 คน คือ
1.จอร์แดน พิคฟอร์ด จาก ซันเดอร์แลนด์
2.ดาวี่ คลาสเซ่น จาก อาแอ็กซ์
3.เฮนรี่ ออเยนกูรู จาก เออเปน
4.ซานโดร รามิเรซ จาก มาลาก้า
5.ไมเคิล คีน จาก เบิร์นลี่
รวมแล้ว เอฟเวอร์ตัน ใช้เงินไปแล้ว เกือบ 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการลงทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 139 ปี ของสโมสร และ เดอะ ทอฟฟี่ ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ ล่าสุดมีข่าวว่า ต้องการตัว กิลฟี่ ซิกูร์สัน
กองกลางตัวเก่ง ของ สวอนซี ซิตี้ มาเสริมทีมอีก งานนี้เรียกว่า เอฟเวอร์ตัน ต้องการยกระดับทีมให้เทียบกับ ทีม ในท็อป 6 แบบทันตาเห็น
พูดถึงประเด็นของ เวนย์ รูนี่ อดีตกับตันทีม ผีแดง ที่ย้ายกลับมาเล่นให้กับทีมรัก หลังจากออกไปประสบความสำเร็จ ผีแดง มานาน ก็มาถึงจุดที่เป็นช่วงขาลง ในอาชีพนักเตะ ของเขา บทบาทในทีม
ผีแดง เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ประกอบกับ นักเตะที่ซื้อเข้ามาใหม่ อย่าง มาร์ซิยาล และ นักเตะ ดาวรุ่ง หลายๆ คน เช่น มาร์คัส แรทฟอร์ด เริ่มจะเล่นได้ดี ยิ่งแสดงให้เห็นว่า รูนี่ ไม่มีที่ยืน ในสโมสร แล้ว พอมาถึง ยุค ของ โซเซ่ มิรินโญ่ ก็ถึงจุดสิ้นสุด ของ เวนย์ รูนี่ ในโรงละครแห่งความฝัน การหวนกลับมายังบ้านที่เขารักจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ของ เวนย์ เพราะทุกอนูในสายเลือดของเขาคือ สีน้ำเงิน มาโดยตลอด
ตัวเขาเอง คือ นักเตะที่น่ายกย่องอีกคนหนึ่งของ วงการ ฟุตบอล รูนี่ เลือกที่จะ ปฏิเสธเงิน จำนวน มหาศาล ที่เขาจะได้รับ ทั้งใน ลีก จีน และ ทางฝั่ง สหรัฐ อเมริกา เพราะเขาคิดว่า เขามีมากพอแล้ว การได้กลับมาบ้าน คือ สิ่งที่เขาต้องการมากมีสุด เพราะไม่มีที่ไหน มีความสุข มากกว่าอยู่ที่บ้าน การมาช่วยเติมเต็ม และพัฒนาทีม ที่เขารัก จากการใช้ประสบการณ์ และความสำเร็จที่เขามี จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำมากที่สุด เพราะไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับ การได้เห็นทีมที่รัก ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างภาคภูมิใจ
มนุษย์เรา เมื่อมีขาขึ้น ก็มีขาลง เป็นเรื่องธรรมดา "สูงสุด คือ การคืนสู่สามัญ" ไม่มีใคร สามารถ หนี กฎเกณฑ์ แห่ง ธรรมชาติไปได้
กลับมาที่ ทีม เอฟเวอร์ตัน เมื่อมี ลูกหม้อ อย่าง รูนี่ กลับมาช่วย ทีม จะส่งผลดีกับทีมอย่างมาก เพราะ รูนี่ คือ นักเตะ ระดับ ซุปเปอร์สตาร์ ประสบการณ์ และ ความเป็นผู้นำ ของเขา จะส่งผลในเรื่องของจิตใจ ให้นักเตะภายในทีม มีความฮึกเหิม และทุ่มเทให้กับทีมได้อย่างเต็มที่
ในฤดูกาลแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 2017-2018 ที่กำลังจะมาถึงในเดือน สิงหาคม นี้ เราคงจะได้เห็น ทีม เอฟเวอร์ตัน ใน มิติใหม่ ที่ดูแปลกตาออกไปจากเดิม และ พร้อมที่จะท้าทาย กับ ยักษ์ใหญ่
ทุกทีม ในพรีเมียร์ลีก ต้องคอยดูว่า เอฟเวอร์ตัน ทีมนี้ จะไปได้ไกลขนาดไหน
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
เทกโอเวอร์ สโมสร ซึ่งเขาเองพร้อมที่จะสนับสนุน โรนัล คูมัน ผจก.ทีม ให้นำ เอฟเวอร์ตัน ท้าทายทีม ท็อป 6 ของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้า
เวนย์ รูนี่ อดีตเด็กปั้นของสโมสร คือ นักเตะคนล่าสุด ที่ย้ายกลับมาเล่นให้กับทีม หลังจากที่
เอฟเวอร์ตัน ได้นักเตะ มาแล้ว 5 คน คือ
1.จอร์แดน พิคฟอร์ด จาก ซันเดอร์แลนด์
2.ดาวี่ คลาสเซ่น จาก อาแอ็กซ์
3.เฮนรี่ ออเยนกูรู จาก เออเปน
4.ซานโดร รามิเรซ จาก มาลาก้า
5.ไมเคิล คีน จาก เบิร์นลี่

กองกลางตัวเก่ง ของ สวอนซี ซิตี้ มาเสริมทีมอีก งานนี้เรียกว่า เอฟเวอร์ตัน ต้องการยกระดับทีมให้เทียบกับ ทีม ในท็อป 6 แบบทันตาเห็น
พูดถึงประเด็นของ เวนย์ รูนี่ อดีตกับตันทีม ผีแดง ที่ย้ายกลับมาเล่นให้กับทีมรัก หลังจากออกไปประสบความสำเร็จ ผีแดง มานาน ก็มาถึงจุดที่เป็นช่วงขาลง ในอาชีพนักเตะ ของเขา บทบาทในทีม
ผีแดง เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ประกอบกับ นักเตะที่ซื้อเข้ามาใหม่ อย่าง มาร์ซิยาล และ นักเตะ ดาวรุ่ง หลายๆ คน เช่น มาร์คัส แรทฟอร์ด เริ่มจะเล่นได้ดี ยิ่งแสดงให้เห็นว่า รูนี่ ไม่มีที่ยืน ในสโมสร แล้ว พอมาถึง ยุค ของ โซเซ่ มิรินโญ่ ก็ถึงจุดสิ้นสุด ของ เวนย์ รูนี่ ในโรงละครแห่งความฝัน การหวนกลับมายังบ้านที่เขารักจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ของ เวนย์ เพราะทุกอนูในสายเลือดของเขาคือ สีน้ำเงิน มาโดยตลอด
ตัวเขาเอง คือ นักเตะที่น่ายกย่องอีกคนหนึ่งของ วงการ ฟุตบอล รูนี่ เลือกที่จะ ปฏิเสธเงิน จำนวน มหาศาล ที่เขาจะได้รับ ทั้งใน ลีก จีน และ ทางฝั่ง สหรัฐ อเมริกา เพราะเขาคิดว่า เขามีมากพอแล้ว การได้กลับมาบ้าน คือ สิ่งที่เขาต้องการมากมีสุด เพราะไม่มีที่ไหน มีความสุข มากกว่าอยู่ที่บ้าน การมาช่วยเติมเต็ม และพัฒนาทีม ที่เขารัก จากการใช้ประสบการณ์ และความสำเร็จที่เขามี จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำมากที่สุด เพราะไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับ การได้เห็นทีมที่รัก ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างภาคภูมิใจ
มนุษย์เรา เมื่อมีขาขึ้น ก็มีขาลง เป็นเรื่องธรรมดา "สูงสุด คือ การคืนสู่สามัญ" ไม่มีใคร สามารถ หนี กฎเกณฑ์ แห่ง ธรรมชาติไปได้
กลับมาที่ ทีม เอฟเวอร์ตัน เมื่อมี ลูกหม้อ อย่าง รูนี่ กลับมาช่วย ทีม จะส่งผลดีกับทีมอย่างมาก เพราะ รูนี่ คือ นักเตะ ระดับ ซุปเปอร์สตาร์ ประสบการณ์ และ ความเป็นผู้นำ ของเขา จะส่งผลในเรื่องของจิตใจ ให้นักเตะภายในทีม มีความฮึกเหิม และทุ่มเทให้กับทีมได้อย่างเต็มที่
ในฤดูกาลแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 2017-2018 ที่กำลังจะมาถึงในเดือน สิงหาคม นี้ เราคงจะได้เห็น ทีม เอฟเวอร์ตัน ใน มิติใหม่ ที่ดูแปลกตาออกไปจากเดิม และ พร้อมที่จะท้าทาย กับ ยักษ์ใหญ่
ทุกทีม ในพรีเมียร์ลีก ต้องคอยดูว่า เอฟเวอร์ตัน ทีมนี้ จะไปได้ไกลขนาดไหน
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
เยอรมัน สายเลือดใหม่
ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017
ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับฟุตบอลรายการนี้ ซึ่งกระแสความนิยม อาจจะมีไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจาก ถูกข่าวการซื้อขายนักเตะ ต่างๆ กลบกระแสหมด อันที่จริงแล้ว ฟุตบอลรายการนี้เหมือนเป็น การอุ่นเครื่องเตรียมความพร้อม สำหรับเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปีต่อไปมากกว่า รายการเล็กๆที่มีทีมไม่เล็กร่วมแข่งขัน กัน จำนวน 8 ทีม โดยคัดเลือกจาก แชมป์ของแต่ละทวีป และ แชมป์ฟุตบอลโลก ครั้งล่าสุด บวกกับเจ้าภาพฟุตบอลโลก ปีถัดไป ถือเป็นรายการอุ่นเครื่องที่มีคุณภาพคับแก้วทีเดียว
ทีมชาติ เยอรมัน คือ ทีมที่ได้แชมป์ทีมล่าสุด ซึ่งดูจากรายชื่อนักเตะในทีมแล้ว ต้องบอกว่า เยอรมันชุดนี้ คือ ทีมพลังหนุ่ม สายเลือดใหม่ อย่างแท้จริง แต่คนที่ยังกุมบังเหียนอยู่ยังเป็นคนเดิมที่เข้าใจ ทุกรายละเอียดของทีมชาติเยอรมัน โยอาคิม เลิฟ คลุกคลี กับเด็กๆชุดนี้มานานและได้เห็นพัฒนาการของพวกเขาอย่างชัดเจน ตั้งแต่ ยูเลี่ยน เดร็กเลอร์ กัปตันทีม ที่ติดทีมชาติมาตั้งแต่ ตอนเป็นดาวรุ่ง โจซัว คิมมิช ,โยนาส เฮ็คเตอร์ ,มัสเทอัส กินเทอร์ รวมถึง เอ็มเร่ ชาน นักเตะของ เยอรมัน ชุดนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เล่นอยู่ใน บุนเดสลีกามาก่อน ทำให้ บอสใหญ่ สามารถติดตามดูนักเตะ
ได้อย่างทั่วถึง และใกล้ชิด เขาเห็นพัฒนาการของเด็กทุกคน แล้วรู้ว่าจะใช้เขาเหล่านั้นยังไง
สไตล์การเล่นของเยอรมัน ในยุคของ เลิฟ นั้นดูจะเป็นสไตล์ที่แตกต่างจาก เยอรมัน เมื่อก่อน ที่เน้นเล่นลูกกลางอากาศ ซึ่งเราจะเห็นศูนย์ที่มีรูปร่างใหญ่และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี อย่าง โอลิเวอร์ เบียฮอร์ฟ ,โคลเซ่,มาริโอ โกเมซ ยืนเป็นหน้าเป้าตลอด มาในยุคของเลิฟ เขาได้เปลี่ยนแปลงสไตล์ให้มีการเข้าทำที่หลากหลาย มีการเล่นบนพื้น การครอสจากด้านข้าง มีการใช้ลูกทะลุช่อง โดยใช้ความเร็วของศูนย์หน้า ซึ่งด้วยสไตล์แบบนี้ ทำให้เขาพาทีมประสบความสำเร็จมาโดยตลอด และทีมชาติเยอรมัน ไม่เคยขาดศูนย์หน้าดีๆ เลย ล่าสุดที่ระเบิดฟอร์มแจ่ม ก็ Timo Werner หัวหอก ของ RB Leipzig ที่กระทุ้งตาข่าย ไป 3 ลูก คว้ารางวัล ดาวซัลโว ของรายการนี้ไปครอง เด็กหนุ่มคนนี้ผมเคยเขียนไว้ ว่าจะเป็น กองหน้าอนาคตไกลอีกคนหนึ่งของวงการ ไปติดตามอ่านได้ที่
10 ศูนย์หน้าอนาคตไกล
10 ศูนย์หน้าอนาคตไกล
ด้วยสไตล์การเล่น ที่เต็มไปด้วยทักษะ การเคลื่อนที่ที่ดี การอ่านเกม และ ความเร็ว เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าที่มีความครบเครื่องในตัว คาดว่าเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าระดับโลกในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เยอรมัน พลังหนุ่ม ชุดนี้ ของ โยอาคิม เลิฟ นั้นมีพิษสง รอบตัว เริ่มตั่งแต่ ผู้รักษาประตู มาร์ค เตอร์ สเตเก้น ที่สามารถออกมาตัดบอล และใช้เท้าในการเล่นได้ดี เซ็นเตอร์ 2 คน มุสตาฟี ,โรดิเกอร์ ลูกกลางอากาศดี ตัดบอลดี ฟูลแบ็ค 2 ข้าง คิมมิช ,เฮ็คเตอร์ บุกดี รับเยี่ยม กลางเป็น โกเร็ทตา , โรเด่,ชดินเดิล และ แดร็กเลอร์ เร็ว ทะลุทะลวงได้ดี กองหน้า วอร์เนอร์ เร็ว คม มีส่วนร่วมกับเกม สำรอง ชาน ที่กำลังดีวันดีคืน สายเลือดใหม่ชุดนี้ จึงเป็นที่น่าจับตา ในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย การประสบความสำเร็จอย่างงดงามของชุดพลังหนุ่มชุดนี้ โดยที่ไม่มี รุ่นพี่ในทีมเลย แสดงให้เห็นว่า ทีมชาติชุดนี้ของ เยอรมัน พร้อมแล้ว ที่จะท้าทายกับทุกทีมใน ฟุตบอลโลก 2018
คนที่เป็นสาวกของทีมชาติ เยอรมัน ต้องคอยติดตามกันครับว่า เยอรมัน สายเลือดใหม่ ชุดนี้จะไปได้ไกล ขนาดไหน
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer13
วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560
สโมสร กับ ทีมชาติ ความยาก อยู่ที่ไหน
28 มิ.ย.60 นับถอยหลังอีก 2 วัน ตลาดซื้อขายนักเตะ ก็จะเปิดอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ ช่วงนี้หลายๆทีมก็กำลังขมักขเม่น ในการเสริมทัพ ของทีมตัวเอง ให้พร้อมต่อสู่ ในการแข่งขันที่ยาวนานในปีฤดูกาลหน้า บางทีมก็ได้นักเตะใหม่เข้ามาบ้างแล้ว บางทีม ก้ตัวผู้จัดการทีมใหม่ ในบรรดาลีกต่างๆในทวีปยุโรป ลีกที่น่าสนใจและเนื้อหอมที่สุด ก็คงจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้งนักเตะ และ ผจก.ทีม ต่าง พร้อมใจกันอยากมาหาความท้าทายในลีกแห่งนี้ ทุกคน เรียกได้ว่า พรีเมียร์ลีก ได้กลายเป็นศูนย์ ของ นักเตะ และ ผจก.ทีม ระดับโลกไปแล้ว ผจก.ระดับโลก มากมายหลายคนเคยทำงานใน พรีเมียร์ลีก
ปัจจุบัน นี้ ผจก.ทีม ระดับโลก รุ่นใหม่ๆ ก็อยู่กันครับ เป้ป กวาดิโอล่า ,มูรินโญ่ ,เยอร์เก้น คล๊อป ,
อันโตนิโอ คอนเต้ ล่าสุด ก็ แฟรงค์ เดอบัว ที่ถือว่าเป็น ผจก.ทีม รุ่นใหม่ ไฟแรงอีกคน ที่ตกลง รับงาน กับ คริสตัล พาเลช เป็นที่เรียบร้อย โดยเซ็นสัญญา 3 ปี และเชื่อว่ายังมีอีกหลายคน ที่พร้อมจะเข้ามาหาความท้าทายในลีก แห่งนี้
จากทิศทางของตลาดนักเตะที่ได้ติดตามมา คาดการณ์ว่า ตลาดซื้อขายปีนี้ คงจะมีการสร้างสถิติใหม่เกิดขึ้น อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นนักเตะคนไหนนั้นต้องคอยติดตามกัน ตัวเก็ง ที่จะสร้างสถิติใหม่นั้น มีอยู่ 4 คน ด้วยกัน 1.คิเลี่ยน เอ็มปับเป้ เจ้าหนูวัย 18 ปี จาก โมนาโค 2.เอเดน อาร์ซาร์ จากค่ายสิงห์ น้ำเงิน 3.แฮรี่ เคน จาก คลับ ไก่ และ สุดท้าย 4.เปาโล ดิบาล่า จาก ม้าลาย จากรายชื่อแล้วแต่ละคน ดีกรีไม่ธรรมดา จริงๆ แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอยู่กับว่าจะมีทีมไหน บ้าเลือด ควักกระเป๋าจ่าย เพื่อนักเตะคนเดียว อย่างที่ ยูไนเต็ด ยอมจ่าย 89 ล้านปอนด์ กับ เจ้า หมาบ้า(ดร็อกบา) รึเปล่า 5555 อันนี้ล้อเล่น
มาดูทางฝั่งบ้านเรากันบ้าง ในเลกที่ 2 ก็เริ่มที่จะเสริมทัพกันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ฮืออาและเป็นข่าวดังในช่วงนี้ ก็คือ การกลับมารับงานคุมทีม ของ โค้ช ซิโก้ เกรียติศักดิ์ กับทีม การท่าเรือ โดยมี เจ๊ แป้ง เป็นหัวเรือใหญ่อยู่ การกลับมาคราวนี้ เป็นการหวนกลับมาคุมทีมระดับสโมสร อีกครั้ง ของ โค้ช ซิโก้ ซึ่งก่อนจะมาคุมทีมชาติ ซิโก้ เคยคุมทีม สโมสร BBCU มาก่อน แต่การคุมทีมคราวนั้น เรียกได้ว่า ผลงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะทรัพยากร ในทีม หลายอย่าง ที่ไม่พร้อม การกลับมาคุมทีมการท่าเรือ ครั้งนี้ คงจะเป็นบทพิสูจน์ ฝีมือของ โค้ช ซิโก้ อย่างแท้จริง เพราะไม่ว่า จะเป็นเรื่องของ งบประมาณ สภาพความพร้อมของทีม ที่มีให้ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์ แถมยังมี มาดามแป้ง หนุนหลังอย่างเต็มที่อีก ถ้าหากล้มเหลว ก็คงจะโทษอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากตัวเอง
ตามชื่อเรื่องของเราในวันนี้ เราจะลองแสดงความคิดเห็นกันว่า ระหว่าง การคุม ทีม "สโมสร กับ ทีมชาติ แบบไหน ยาก กว่ากัน" และ มีข้อแตกต่างกันยังไง ผมขอแยกออกเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
#การบริหารจัดการ
สโมสร : บริหารจัดการได้ง่ายกว่า เพราะมีกลุ่มผู้บริหารที่ไม่มาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สามารถคุยกันได้ง่าย ตัดสินใจได้เลย
ทีมชาติ : มีการบริหารจัดการที่เป็นขั้นตอนมากกว่า หลายขั้นตอน หลายระดับ การทำงานในทีมต้องขั้นอยู่ ตัวผู้บริหารสมาคม
#การคัดเลือกนักเตะ
สโมสร : การคัดเลือกนักเตะ เรื่องนี้คงจะเป็นข้อด้อยของแต่ละสโมสร เพราะต้องขึ้นอยู่กับ งบประมาณภายใน อาจจะมีทรัพยากรนักเตะให้เลือกใช้อย่างจำกัด ปัจจัยนี้ คือ ตัวชี้วัดความสามารถของโค้ชได้เป็นอย่างดี ในการจัดการระบบทีม การบริหารนักเตะ และ การดึงศักยภาพนักเตะให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
ทีมชาติ : ไม่มีปัญหาเรื่องตัวผู้เล่น สามารถเลือกได้อย่างเต็มที่ ตามสไตล์การทำทีมของ โค้ชแต่ละคน
#ระบบทีม แท็กติก
สโมสร : ต้องมีระบบการเล่น และแท็กติกที่ชัดเจน กำหนดแนวทางของทีมได้ ว่าจะให้เป็นแบบไหน สไตล์ไหน ที่จะนำมาใส่ให้กับทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาพอสมควร ในการสร้างทีม ตามแนวทางของตัวเอง ซึ่งถือเป็นงานที่ยากพอสมควร สำหรับทีมระดับสโมสร การที่ต้องใช้เวลาแข็งขันกันเป็นเวลานานหากไม่มีระบบทีมที่ดีแล้วยากที่จะประสบความสำเร็จ เราจะเห็นว่า หลายสโมสรที่เปลี่ยนโค้ชบ่อยๆ มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก นอกจาก ทีมนั้นจะเป็นทีมที่ใหญ่ และ รวยจริงๆ เท่านั้น เพราะการใช้เงินซื้อความสำเร็จ ต้องลงทุนสูงมากจริงๆ
ทีมชาติ : เนื่องจากทีมชาติ คือ ฟุตบอล ที่แข่งขันกันเป็นระยะเวลาสั้น การจัดการระบบทีม อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตาม คู่แข่ง ตาม ทัวนาเมนต์ นั้นๆ ผจก.จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่ เก่งทางด้าน แท็กติก เป็นอย่างมาก ถึงจะทำทีมให้ประสบความสำเร็จได้
#สรุปในความคิดผม
คิดว่า การคุมทีม ทั้งสองแบบ มีความยากที่ต่างกัน และ ต้องการ โค้ชที่มีความสามารถ ที่แตกต่างกันออกไปด้วย จากที่สังเกตุมา จะเห็นว่า มี ผจก.ทีม ระดับโลก ที่ประสบความสำเร็จกับทีม ระดับสโมสรแต่ล้มเหลวในการคุมทีมชาติ และ ก็มี ผจก.ทีมอีกไม่น้อย ที่ประสบความสำเร็จ กับทีม ชาติ แต่ต้อง มาล้มเหลวกับ ทีมระดับสโมสร อันนี้มันขึ้นอยุ่กับว่า ผจก.ทีม คนนั้น จะเชี่ยวชาญ ในการคุมทีมแบบไหน
การคัดสรร ผู้กุมบังเหียนของทีม คือ สิ่งสำคัญ ที่จะกำหนดว่า ทีมจะประสบความสำเร็จ หรือ ไม่
แล้วเพื่อนละ คิดยังไง...................................
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer13
ปัจจุบัน นี้ ผจก.ทีม ระดับโลก รุ่นใหม่ๆ ก็อยู่กันครับ เป้ป กวาดิโอล่า ,มูรินโญ่ ,เยอร์เก้น คล๊อป ,
อันโตนิโอ คอนเต้ ล่าสุด ก็ แฟรงค์ เดอบัว ที่ถือว่าเป็น ผจก.ทีม รุ่นใหม่ ไฟแรงอีกคน ที่ตกลง รับงาน กับ คริสตัล พาเลช เป็นที่เรียบร้อย โดยเซ็นสัญญา 3 ปี และเชื่อว่ายังมีอีกหลายคน ที่พร้อมจะเข้ามาหาความท้าทายในลีก แห่งนี้
จากทิศทางของตลาดนักเตะที่ได้ติดตามมา คาดการณ์ว่า ตลาดซื้อขายปีนี้ คงจะมีการสร้างสถิติใหม่เกิดขึ้น อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นนักเตะคนไหนนั้นต้องคอยติดตามกัน ตัวเก็ง ที่จะสร้างสถิติใหม่นั้น มีอยู่ 4 คน ด้วยกัน 1.คิเลี่ยน เอ็มปับเป้ เจ้าหนูวัย 18 ปี จาก โมนาโค 2.เอเดน อาร์ซาร์ จากค่ายสิงห์ น้ำเงิน 3.แฮรี่ เคน จาก คลับ ไก่ และ สุดท้าย 4.เปาโล ดิบาล่า จาก ม้าลาย จากรายชื่อแล้วแต่ละคน ดีกรีไม่ธรรมดา จริงๆ แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอยู่กับว่าจะมีทีมไหน บ้าเลือด ควักกระเป๋าจ่าย เพื่อนักเตะคนเดียว อย่างที่ ยูไนเต็ด ยอมจ่าย 89 ล้านปอนด์ กับ เจ้า หมาบ้า(ดร็อกบา) รึเปล่า 5555 อันนี้ล้อเล่น
มาดูทางฝั่งบ้านเรากันบ้าง ในเลกที่ 2 ก็เริ่มที่จะเสริมทัพกันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ฮืออาและเป็นข่าวดังในช่วงนี้ ก็คือ การกลับมารับงานคุมทีม ของ โค้ช ซิโก้ เกรียติศักดิ์ กับทีม การท่าเรือ โดยมี เจ๊ แป้ง เป็นหัวเรือใหญ่อยู่ การกลับมาคราวนี้ เป็นการหวนกลับมาคุมทีมระดับสโมสร อีกครั้ง ของ โค้ช ซิโก้ ซึ่งก่อนจะมาคุมทีมชาติ ซิโก้ เคยคุมทีม สโมสร BBCU มาก่อน แต่การคุมทีมคราวนั้น เรียกได้ว่า ผลงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะทรัพยากร ในทีม หลายอย่าง ที่ไม่พร้อม การกลับมาคุมทีมการท่าเรือ ครั้งนี้ คงจะเป็นบทพิสูจน์ ฝีมือของ โค้ช ซิโก้ อย่างแท้จริง เพราะไม่ว่า จะเป็นเรื่องของ งบประมาณ สภาพความพร้อมของทีม ที่มีให้ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์ แถมยังมี มาดามแป้ง หนุนหลังอย่างเต็มที่อีก ถ้าหากล้มเหลว ก็คงจะโทษอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากตัวเอง
ตามชื่อเรื่องของเราในวันนี้ เราจะลองแสดงความคิดเห็นกันว่า ระหว่าง การคุม ทีม "สโมสร กับ ทีมชาติ แบบไหน ยาก กว่ากัน" และ มีข้อแตกต่างกันยังไง ผมขอแยกออกเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
#การบริหารจัดการ
สโมสร : บริหารจัดการได้ง่ายกว่า เพราะมีกลุ่มผู้บริหารที่ไม่มาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สามารถคุยกันได้ง่าย ตัดสินใจได้เลย
ทีมชาติ : มีการบริหารจัดการที่เป็นขั้นตอนมากกว่า หลายขั้นตอน หลายระดับ การทำงานในทีมต้องขั้นอยู่ ตัวผู้บริหารสมาคม
#การคัดเลือกนักเตะ
สโมสร : การคัดเลือกนักเตะ เรื่องนี้คงจะเป็นข้อด้อยของแต่ละสโมสร เพราะต้องขึ้นอยู่กับ งบประมาณภายใน อาจจะมีทรัพยากรนักเตะให้เลือกใช้อย่างจำกัด ปัจจัยนี้ คือ ตัวชี้วัดความสามารถของโค้ชได้เป็นอย่างดี ในการจัดการระบบทีม การบริหารนักเตะ และ การดึงศักยภาพนักเตะให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
ทีมชาติ : ไม่มีปัญหาเรื่องตัวผู้เล่น สามารถเลือกได้อย่างเต็มที่ ตามสไตล์การทำทีมของ โค้ชแต่ละคน
#ระบบทีม แท็กติก
สโมสร : ต้องมีระบบการเล่น และแท็กติกที่ชัดเจน กำหนดแนวทางของทีมได้ ว่าจะให้เป็นแบบไหน สไตล์ไหน ที่จะนำมาใส่ให้กับทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาพอสมควร ในการสร้างทีม ตามแนวทางของตัวเอง ซึ่งถือเป็นงานที่ยากพอสมควร สำหรับทีมระดับสโมสร การที่ต้องใช้เวลาแข็งขันกันเป็นเวลานานหากไม่มีระบบทีมที่ดีแล้วยากที่จะประสบความสำเร็จ เราจะเห็นว่า หลายสโมสรที่เปลี่ยนโค้ชบ่อยๆ มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก นอกจาก ทีมนั้นจะเป็นทีมที่ใหญ่ และ รวยจริงๆ เท่านั้น เพราะการใช้เงินซื้อความสำเร็จ ต้องลงทุนสูงมากจริงๆ
ทีมชาติ : เนื่องจากทีมชาติ คือ ฟุตบอล ที่แข่งขันกันเป็นระยะเวลาสั้น การจัดการระบบทีม อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตาม คู่แข่ง ตาม ทัวนาเมนต์ นั้นๆ ผจก.จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่ เก่งทางด้าน แท็กติก เป็นอย่างมาก ถึงจะทำทีมให้ประสบความสำเร็จได้
#สรุปในความคิดผม
คิดว่า การคุมทีม ทั้งสองแบบ มีความยากที่ต่างกัน และ ต้องการ โค้ชที่มีความสามารถ ที่แตกต่างกันออกไปด้วย จากที่สังเกตุมา จะเห็นว่า มี ผจก.ทีม ระดับโลก ที่ประสบความสำเร็จกับทีม ระดับสโมสรแต่ล้มเหลวในการคุมทีมชาติ และ ก็มี ผจก.ทีมอีกไม่น้อย ที่ประสบความสำเร็จ กับทีม ชาติ แต่ต้อง มาล้มเหลวกับ ทีมระดับสโมสร อันนี้มันขึ้นอยุ่กับว่า ผจก.ทีม คนนั้น จะเชี่ยวชาญ ในการคุมทีมแบบไหน
การคัดสรร ผู้กุมบังเหียนของทีม คือ สิ่งสำคัญ ที่จะกำหนดว่า ทีมจะประสบความสำเร็จ หรือ ไม่
แล้วเพื่อนละ คิดยังไง...................................
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer13
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ตลาดนักเตะ.........
สวัสดีครับ...คอบอลทุกท่าน ช่วงนี้เชื่อว่าหลายท่าน คงจะติดตามข่าวสาร การซื้อขาย ย้ายสโมสร ของบรรดานักเตะ ขวัญใจ และคงจะคอยลุ้นกันว่า ทีมรักจะได้ใครเข้ามาเสริมบ้าง
ณ วันที่ เขียนบทความนี้ 22 มิ.ย.60 ตลาดนักเตะ ก็ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายทีมที่ได้เซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ๆกันไปบ้างแล้ว โดยนักเตะที่เซ็นไว้ล่วงหน้า ก็จะสามารถย้ายสังกัดได้อย่างสมบูรณ์ ในวันที่ 1 ก.ค.60 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดซื้อ-ขายนักเตะอย่างเปิดอย่างเป็นทางการ
อย่างที่เราทราบกันว่า ทุกวันนี้ กีฬาฟุตบอล ถือเป็น ธุรกิจมากว่าในยุคก่อนๆ ซึ่งมูลค่าทางการตลาดของแต่ละสโมสร ที่มีชื่อเสียงนั้น มหาศาล ทั้งในเรื่องของ สินค้า ทั้งในเรื่องของ แบรนด์ ทีมที่มีมูลค่ามากๆ ในปัจจุบัน ก็ได้แก่ รีล มาดริด,แมน ยูไนเต็ด ,บาร์เยิร์น มิวนิค ซึ่งทีมเหล่านี้ ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่ สโมสรฟุตบอลธรรมดาๆ แต่ทีม เหล่านี้ ได้กลายเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปแล้ว ซึ่ง สามารถมีรายได้และทำกำไร ที่มากกว่าธุรกิจบางอย่างด้วยซ้ำไป ปัจจุบันเราจึงเห็นนักธุรกิจมากหน้าหลายตา จากหลายทวีป กระโดดเข้ามาร่วมวง แย่งส่วนแบ่งกันมากมาย มีทั้งที่มาเพื่อหวังผลทางธุรกิจอย่างเดียว และ มาเพราะมีใจรักในกีฬาบางส่วน
ในวงการธุรกิจ เราจะเห็นว่า มีตลาดมากมายหลายแบบ ทั้ง ตลาดหุ้น ,ตลาดเงิน,ตลาดสินค้าต่างๆ ซึ่งตลาดเหล่านี้ดำเนินไปในทุกวัน และ มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบอยู่ตลอด แต่มีตลาดอยู่ตลาดหนึ่ง ที่ 1 ปี เปิดเพียง 2 ครั้ง แต่การเปิดตลาดในแต่ละครั้งนั้นมีความหมาย เพราะยอดรวมในการซื้อขายในแต่ละครั้ง ไม่ต่ำ 1 หมื่นล้านบาท ทุกท่านอ่านไม่ผิดครับ 1 หมื่นล้านบาท......ตลาดนี้ จะคึกคักเป็นพิเศษในช่วง เดือน มิ.ย.- ก.ค. ของทุกปี และเปิดทำการสั้นๆ เพียง 1 เดือน ตลาดนี้มีชื่อว่า "ตลาดนักเตะ"
บรรดาพ่อค้าแข้ง จากทั่วทุกสารทิศ จะเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ ปกติเราจะเห็น พ่อค้า เป็นคนที่ทำการซื้อ-ขายสินค้าใช่มั้ยครับ แต่ตลาดนี้แปลกมาก ตัวพ่อค้าเอง คือคนที่ถูกซื้อหรือขายซะเอง
ยิ่งพ่อค้า คนไหนที่มีความเก่งกาจสามารถ มีลีลาแพรวพราว จะได้รับการประเมินราคาสูงเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าอยู่ในความสนใจ ของหลายๆ สโมสร ราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนบางที่ดูจะเกินจริงไปซะหน่อย
ปัจจุบัน การเจรจา ซื้อ-ขาย นักเตะ จะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะแต่ละสโมสรต่างเล่นแง่ โก่งราคา ให้ได้มากที่สุด ยื้อกันไปมา จนบางที่ คนที่รอเสพข่าวอย่างเราๆท่านๆ เบื่อ จนไม่อยากติดตามข่าว
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นอย่างที่เราเห็นคือ ความต้องการ มีมากกว่า สินค้า เมื่อมีความต้องการมาก สินค้ามีน้อย ราคาก็ย่อมสูง ยิ่งสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคายิ่งสูงขึ้นไปอีก สินค้าดีจึงเป็นของคนที่มีเงิน เรียกว่า ถ้าเงินถึง ของถึงแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีใจรักก็ตาม
วิธีที่ผมคิดว่า จะสามารถป้องกัน ภาวะเงินเฟ้อในตลาดนักเตะนี้ได้ ก็คือ การกระจายความต้องการ ออกไป สินค้าตัวไหนที่มีคนแย่งซื้อเยอะ เราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ลองมองหา สินค้าที่มีความใกล้เคียง และไม่ค่อยมีใครสนใจมาใช้ดู อาจจะได้ราคาที่ถูกลง และลดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นด้วย เช่น ซื้อมาราคาสูง เกิดความกดดัน เล่นไม่ออก โดนวิจารณ์ สุดท้ายก็เสียนักเตะ ถ้าเป็นนักเตะ ราคาไม่แพง เล่นดีก็ได้รับคำชม เล่นไม่ออก ก็แค่เสมอตัว ไม่เจ็บมาก วิธีการนี้ ยังจะสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมอันบ้าคลั่งของการ ซื้อ-ขาย นักเตะในปัจจุบัน ลงได้บ้าง กว่าจะซื้อนักเตะได้แต่ละคนยากเย็นแสนเข็น โดยเฉพาะทีมที่ไม่ได้ร่ำรวย ทุกวันนี้ กีฬา แข่งขันกันด้วยเงินเป็นส่วนประกอบหลักไปซะแล้ว ส่ิงที่ผมอยากเห็นมาก คือ การกลับมาในแบบเดิมๆ ค่อยๆเริ่ม ค่อยๆสร้างกันไป แบบนี้ เป็นสิ่งที่สวยงาม ยั่งยืน และ จะคงอยู่ตลอดไป
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
ณ วันที่ เขียนบทความนี้ 22 มิ.ย.60 ตลาดนักเตะ ก็ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายทีมที่ได้เซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ๆกันไปบ้างแล้ว โดยนักเตะที่เซ็นไว้ล่วงหน้า ก็จะสามารถย้ายสังกัดได้อย่างสมบูรณ์ ในวันที่ 1 ก.ค.60 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดซื้อ-ขายนักเตะอย่างเปิดอย่างเป็นทางการ
อย่างที่เราทราบกันว่า ทุกวันนี้ กีฬาฟุตบอล ถือเป็น ธุรกิจมากว่าในยุคก่อนๆ ซึ่งมูลค่าทางการตลาดของแต่ละสโมสร ที่มีชื่อเสียงนั้น มหาศาล ทั้งในเรื่องของ สินค้า ทั้งในเรื่องของ แบรนด์ ทีมที่มีมูลค่ามากๆ ในปัจจุบัน ก็ได้แก่ รีล มาดริด,แมน ยูไนเต็ด ,บาร์เยิร์น มิวนิค ซึ่งทีมเหล่านี้ ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแค่ สโมสรฟุตบอลธรรมดาๆ แต่ทีม เหล่านี้ ได้กลายเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปแล้ว ซึ่ง สามารถมีรายได้และทำกำไร ที่มากกว่าธุรกิจบางอย่างด้วยซ้ำไป ปัจจุบันเราจึงเห็นนักธุรกิจมากหน้าหลายตา จากหลายทวีป กระโดดเข้ามาร่วมวง แย่งส่วนแบ่งกันมากมาย มีทั้งที่มาเพื่อหวังผลทางธุรกิจอย่างเดียว และ มาเพราะมีใจรักในกีฬาบางส่วน
ในวงการธุรกิจ เราจะเห็นว่า มีตลาดมากมายหลายแบบ ทั้ง ตลาดหุ้น ,ตลาดเงิน,ตลาดสินค้าต่างๆ ซึ่งตลาดเหล่านี้ดำเนินไปในทุกวัน และ มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบอยู่ตลอด แต่มีตลาดอยู่ตลาดหนึ่ง ที่ 1 ปี เปิดเพียง 2 ครั้ง แต่การเปิดตลาดในแต่ละครั้งนั้นมีความหมาย เพราะยอดรวมในการซื้อขายในแต่ละครั้ง ไม่ต่ำ 1 หมื่นล้านบาท ทุกท่านอ่านไม่ผิดครับ 1 หมื่นล้านบาท......ตลาดนี้ จะคึกคักเป็นพิเศษในช่วง เดือน มิ.ย.- ก.ค. ของทุกปี และเปิดทำการสั้นๆ เพียง 1 เดือน ตลาดนี้มีชื่อว่า "ตลาดนักเตะ"
บรรดาพ่อค้าแข้ง จากทั่วทุกสารทิศ จะเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ ปกติเราจะเห็น พ่อค้า เป็นคนที่ทำการซื้อ-ขายสินค้าใช่มั้ยครับ แต่ตลาดนี้แปลกมาก ตัวพ่อค้าเอง คือคนที่ถูกซื้อหรือขายซะเอง
ยิ่งพ่อค้า คนไหนที่มีความเก่งกาจสามารถ มีลีลาแพรวพราว จะได้รับการประเมินราคาสูงเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าอยู่ในความสนใจ ของหลายๆ สโมสร ราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนบางที่ดูจะเกินจริงไปซะหน่อย
ปัจจุบัน การเจรจา ซื้อ-ขาย นักเตะ จะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะแต่ละสโมสรต่างเล่นแง่ โก่งราคา ให้ได้มากที่สุด ยื้อกันไปมา จนบางที่ คนที่รอเสพข่าวอย่างเราๆท่านๆ เบื่อ จนไม่อยากติดตามข่าว
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นอย่างที่เราเห็นคือ ความต้องการ มีมากกว่า สินค้า เมื่อมีความต้องการมาก สินค้ามีน้อย ราคาก็ย่อมสูง ยิ่งสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคายิ่งสูงขึ้นไปอีก สินค้าดีจึงเป็นของคนที่มีเงิน เรียกว่า ถ้าเงินถึง ของถึงแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีใจรักก็ตาม
วิธีที่ผมคิดว่า จะสามารถป้องกัน ภาวะเงินเฟ้อในตลาดนักเตะนี้ได้ ก็คือ การกระจายความต้องการ ออกไป สินค้าตัวไหนที่มีคนแย่งซื้อเยอะ เราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ลองมองหา สินค้าที่มีความใกล้เคียง และไม่ค่อยมีใครสนใจมาใช้ดู อาจจะได้ราคาที่ถูกลง และลดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นด้วย เช่น ซื้อมาราคาสูง เกิดความกดดัน เล่นไม่ออก โดนวิจารณ์ สุดท้ายก็เสียนักเตะ ถ้าเป็นนักเตะ ราคาไม่แพง เล่นดีก็ได้รับคำชม เล่นไม่ออก ก็แค่เสมอตัว ไม่เจ็บมาก วิธีการนี้ ยังจะสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมอันบ้าคลั่งของการ ซื้อ-ขาย นักเตะในปัจจุบัน ลงได้บ้าง กว่าจะซื้อนักเตะได้แต่ละคนยากเย็นแสนเข็น โดยเฉพาะทีมที่ไม่ได้ร่ำรวย ทุกวันนี้ กีฬา แข่งขันกันด้วยเงินเป็นส่วนประกอบหลักไปซะแล้ว ส่ิงที่ผมอยากเห็นมาก คือ การกลับมาในแบบเดิมๆ ค่อยๆเริ่ม ค่อยๆสร้างกันไป แบบนี้ เป็นสิ่งที่สวยงาม ยั่งยืน และ จะคงอยู่ตลอดไป
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
แบบไหนน่าภูมิใจกว่ากัน
จบไปเรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการแข่งขัน ฟุตบอลลีกต่างๆในยุโรป รวมถึงฟุตบอลถ้วยในประเทศ และ ถ้วยยุโรปถ้วยเล็ก คงเหลือ แต่ ถ้วย หูใหญ่ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ใบเดียวที่ยังไม่จบ ก็ขออนุญาต
:
สรุปให้ดังนี้นะครับ
:
ฟุตบอลลีก
ฟุตบอลถ้วย
ยูโรป้า ลีก แชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
:
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ( ยังไม่ได้แข่งขัน )
:
ดูจากรายชื่อทีมแชมป์ ที่ประสบความสำเร็จ ในฤดูกาล 2015-2016 นี้ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายอะไรนัก
แต่ละทีม ล้วนเป็นทีม ที่พวกเราคงเคยเห็นจนชินตา ทีมเหล่านี้เป็นทีมที่มีศักยภาพ และงบประมาณมหาศาลในการทำทีมอยู่แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะคว้าแชมป์ แต่ประเด็นที่เราจะมาพูดถึงกันในบทความนี้ ผมจะเน้นไปในเรื่องของนโยบายการทำทีม ของ แต่ละทีม ซึ่งมีรูปแบบในการทำทีมที่แตกต่างกัน ความสำเร็จที่หอมหวน คือสิ่งที่ทุกทีมปราถนา แต่เส้นทางไปสู่เส้นชัยนั้น มันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่ละทีมจึงหาวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 สร้างทีมจากเงิน
:
ทีมที่รวยกว่า ย่อมได้เปรียบทีมคู่แข่ง นโยบายการสร้างทีม จึงเน้นไปที่ความสำเร็จแบบรวดเร็ว ทันตาเห็น เหมือน เสกได้ ใช้เงิน เพื่อแลก กับ เวลา ด้วยการนำเข้านักเตะระดับท๊อปของวงการให้มาอยู่ในทีมมากที่สุด เพื่อยกระดับทีมให้ประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด ทีมแบบนี้ ก็ได้แก่ รีล มาดริด ,บาร์เยิร์น มิวนิค ,เชลซี และ PSG ที่ไม่ได้แชมป์ ก็มี เช่น แมน ซิตี้ ,แมนยู (สมัยนี้นะ) การใช้เงินแบบจำนวนมหาศาลแบบฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็นของทีมเหล่านี้ ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในตลาดนักเตะ ของวงการฟุตบอล ในปัจจุบัน ซื่งเราจะเห็นว่า นักเตะเดี๋ยวมีมีราคาที่แพงมากๆ
:
นโยบาย การใช้เงิน ซื้อ ความสำเร็จ แบบนี้ ผมมองว่า มันเป็นความสำเร็จที่ไม่ยั่งยืน เพราะความสำเร็จเกิดจากเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปในตลาด การเล่นในสงครามแห่งราคานั้น ไม่ได้ง่ายเลย เพราะมันจะต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะถอยออกมาได้ วันใดที่คุณถอย คือ วันที่คุณแพ้ การแข่งขันในทะเลแดง ตามความหมาย ของนักการตลาด นั้น เป็นสิ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะการเล่นอยู่ในสงครามราคา มันคือการ รอวันตาย และจะไม่มีใครชนะ
:
แนวทางที่ 2 สร้างทีมระบบบริหารจัดการ
:
ทีมในกลุ่มนี้จะเน้นสร้างทีมจากการพัฒนาในระบบเยาวชน ของสโมสร เป็นหลัก ซื้อตัวนักเตะมาเสริมทีมบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย ตัวอย่างทีมที่ประสบความสำเร็จจากนโยบายแบบนี้ ก็มี บาร์เซโลน่า ,อาร์เซน่อล และ ดอร์ทมุน เราจะเห็นทีมเหล่านี้ มีนักเตะเยาวชนหน้าใหม่ๆ มาเล่นในทีมอยู่เรื่อยๆ ความสำเร็จของทีมกลุ่มนี้ จะเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน และ น่าภาคภูมิใจ กว่าทีมในกลุ่มแรก เพราะสร้างทีมจากระบบการบริหารจัดการ ไม่ต้องเหนื่อยไปต่อสู้ในสงครามราคากับใคร มันอาจจะใช้เวลาในการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์บ้าง แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอย การประสบความสำเร็จในรูปแบบนี้ จะมีความต่อเนื่องและยาวนาน เหมือนอย่าง ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ ท่านเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ทำทีมแรกๆ การปุกปั้น นักเตะ อย่าง เดวิด แบ็คแคม, พอล สโกว์ และ ไรอัน กิ๊ก และ ซื้อตัว มาเสริมในจุดที่ขาดหาย อย่าง รอย คีน ,เอริด คันโตน่า ,ปีเตอร์ ชไมเคิล มาเสริม ทำให้ ทีม ปีศาจแดง ครองความยิ่งใหญ่ ได้อย่างยาวนาน การสร้างทีมด้วยเวลา ทำให้นักเตะ เกิดความผูกพันธ์ ความเข้าใจซื่งกันและกัน จึงส่งผลทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ในแบบที่ต้องการ
ทั้ง 2 แนวทางนี้ มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ความสำเร็จ แต่ใน ความสำเร็จ นั้น ย่อมมีเรื่องราว และ ที่มา เสมอ อยู่ที่ว่า เราจะใช้อะไรเป็นตัววัดค่า ของมัน หาก "ความภาคภูมิใจ" คือ สิ่งที่เราต้องการ มันก็คุ้มค่าที่จะรอคอย จริงมั้ยครับ
#Pairoj13
#ขอบคุณที่ติดตาม
:
สรุปให้ดังนี้นะครับ
:
ฟุตบอลลีก
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แชมป์ เชลซี
ลาลีกา สเปน " รีล มาดริด
บุนเดส ลีกา เยอรมัน " บาเยิร์น มิวนิค
กัลโซ่ ซีรี่ อา อิตาลี " ยูเวนตุส
ลีกเอิง ฝรั่งเศา " โมนาโก
:ฟุตบอลถ้วย
FA Cup อังกฤษ แชมป์ อาร์เซนอล
โก ปา เดอร์ เร สเปน แชมป์ บาร์เซโลน่า
เด เอฟ เบ โพคาล เยอรมัน แชมป์ ดอร์ทมุน
โคปปา อิตาเลีย อิตาลี แชมป์ ยูเวนตุส
เฟร์น ลีก คัพ ฝรั่งเศส แชมป์ PSG ปารีสแซ็ง-แฌร์แม็ง
:ยูโรป้า ลีก แชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
:
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ( ยังไม่ได้แข่งขัน )
:
ดูจากรายชื่อทีมแชมป์ ที่ประสบความสำเร็จ ในฤดูกาล 2015-2016 นี้ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายอะไรนัก
แต่ละทีม ล้วนเป็นทีม ที่พวกเราคงเคยเห็นจนชินตา ทีมเหล่านี้เป็นทีมที่มีศักยภาพ และงบประมาณมหาศาลในการทำทีมอยู่แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะคว้าแชมป์ แต่ประเด็นที่เราจะมาพูดถึงกันในบทความนี้ ผมจะเน้นไปในเรื่องของนโยบายการทำทีม ของ แต่ละทีม ซึ่งมีรูปแบบในการทำทีมที่แตกต่างกัน ความสำเร็จที่หอมหวน คือสิ่งที่ทุกทีมปราถนา แต่เส้นทางไปสู่เส้นชัยนั้น มันไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่ละทีมจึงหาวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 สร้างทีมจากเงิน
:
ทีมที่รวยกว่า ย่อมได้เปรียบทีมคู่แข่ง นโยบายการสร้างทีม จึงเน้นไปที่ความสำเร็จแบบรวดเร็ว ทันตาเห็น เหมือน เสกได้ ใช้เงิน เพื่อแลก กับ เวลา ด้วยการนำเข้านักเตะระดับท๊อปของวงการให้มาอยู่ในทีมมากที่สุด เพื่อยกระดับทีมให้ประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด ทีมแบบนี้ ก็ได้แก่ รีล มาดริด ,บาร์เยิร์น มิวนิค ,เชลซี และ PSG ที่ไม่ได้แชมป์ ก็มี เช่น แมน ซิตี้ ,แมนยู (สมัยนี้นะ) การใช้เงินแบบจำนวนมหาศาลแบบฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็นของทีมเหล่านี้ ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในตลาดนักเตะ ของวงการฟุตบอล ในปัจจุบัน ซื่งเราจะเห็นว่า นักเตะเดี๋ยวมีมีราคาที่แพงมากๆ
:
นโยบาย การใช้เงิน ซื้อ ความสำเร็จ แบบนี้ ผมมองว่า มันเป็นความสำเร็จที่ไม่ยั่งยืน เพราะความสำเร็จเกิดจากเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปในตลาด การเล่นในสงครามแห่งราคานั้น ไม่ได้ง่ายเลย เพราะมันจะต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะถอยออกมาได้ วันใดที่คุณถอย คือ วันที่คุณแพ้ การแข่งขันในทะเลแดง ตามความหมาย ของนักการตลาด นั้น เป็นสิ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะการเล่นอยู่ในสงครามราคา มันคือการ รอวันตาย และจะไม่มีใครชนะ
:
แนวทางที่ 2 สร้างทีมระบบบริหารจัดการ
:
ทีมในกลุ่มนี้จะเน้นสร้างทีมจากการพัฒนาในระบบเยาวชน ของสโมสร เป็นหลัก ซื้อตัวนักเตะมาเสริมทีมบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย ตัวอย่างทีมที่ประสบความสำเร็จจากนโยบายแบบนี้ ก็มี บาร์เซโลน่า ,อาร์เซน่อล และ ดอร์ทมุน เราจะเห็นทีมเหล่านี้ มีนักเตะเยาวชนหน้าใหม่ๆ มาเล่นในทีมอยู่เรื่อยๆ ความสำเร็จของทีมกลุ่มนี้ จะเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน และ น่าภาคภูมิใจ กว่าทีมในกลุ่มแรก เพราะสร้างทีมจากระบบการบริหารจัดการ ไม่ต้องเหนื่อยไปต่อสู้ในสงครามราคากับใคร มันอาจจะใช้เวลาในการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์บ้าง แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอย การประสบความสำเร็จในรูปแบบนี้ จะมีความต่อเนื่องและยาวนาน เหมือนอย่าง ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ ท่านเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ทำทีมแรกๆ การปุกปั้น นักเตะ อย่าง เดวิด แบ็คแคม, พอล สโกว์ และ ไรอัน กิ๊ก และ ซื้อตัว มาเสริมในจุดที่ขาดหาย อย่าง รอย คีน ,เอริด คันโตน่า ,ปีเตอร์ ชไมเคิล มาเสริม ทำให้ ทีม ปีศาจแดง ครองความยิ่งใหญ่ ได้อย่างยาวนาน การสร้างทีมด้วยเวลา ทำให้นักเตะ เกิดความผูกพันธ์ ความเข้าใจซื่งกันและกัน จึงส่งผลทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ในแบบที่ต้องการ
ทั้ง 2 แนวทางนี้ มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ความสำเร็จ แต่ใน ความสำเร็จ นั้น ย่อมมีเรื่องราว และ ที่มา เสมอ อยู่ที่ว่า เราจะใช้อะไรเป็นตัววัดค่า ของมัน หาก "ความภาคภูมิใจ" คือ สิ่งที่เราต้องการ มันก็คุ้มค่าที่จะรอคอย จริงมั้ยครับ
#Pairoj13
#ขอบคุณที่ติดตาม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)