การเปลี่ยนแปลงในวงการฟุตบอลไทย ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ โค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ได้ประกาศยุติบทบาท หัวหน้าผู้ฝึกสอน ฟุตบอลทีมชาติไทยเรียบร้อยแล้ว ผ่านอินสตราแกรม ส่วนตัว
หลังจากคุมทีม นาน 5 ปี จากกรณีนี้ก็มีข่าวคราวออกมา ซักระยะหนึ่งแล้วว่าทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จะไม่ต่อสัญญาให้กับ โค้ช ซิโก้ โดยท่าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคม มีความต้องการที่จะเปลียนแปลง วงการฟุตบอลไทยให้พัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม ประกอบกับ ผลงานในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ทีมไทย ทำผลงานได้ไม่ดี ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวที่ออกมามากขึ้น
ถึงจะยังไม่มีการหารือ ระหว่าง โค้ช ซิโก้ กับ สมาคมฟุตบอล เกิดขึ้น แต่ทั้งสองฝ่าย ก็มีการให้สัมภาษณ์ ออกมาในแนวบอกเป็นนัยว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน โดยเฉพาะทางฝั่งของ ท่านนายก สมาคมฟุตบอล ทางด้านฝั่ง ของ โค้ช ซิโก้ เองก็ดูเหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเอง ก็เลย ชิง ประกาศ ลาออก ซะตั้งแต่เนินๆ ก่อนที่จะมีการปลด เกิดขึ้น ซึ่งการลาออก ของ ซิโก้ ส่งผลดีกับ ตัวของ ซิโก้เอง คือ เป็นการแสดงสปิริตในตัวเขาเอง ด้วยการเลือก จบแบบ ศพสวย ว่างั้นเถอะ หากเขารอให้สมาคมฟุตบอล ปลดออกจาก ตำแหน่ง เขาเองก็จะเสียประวัติ และอาจจะเกิดความขุ่นข้องหมองใจกันมากกว่าเดิม จะเป็นการจากกันที่ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
มาว่ากันในหัวข้อของเราในบทความนี้กันดีกว่าครับ จากนี้ไป สมาคมฟุตบอลไทย จะหาใครมาทำหน้าที่ต่อ จาก โค้ช ซิโก้ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน เพราะผลงานที่ผ่านมาของ โค้ช ซิโก้ ที่ทำไว้นั้น เรียกว่า ประสบผลสำเร็จ เป็นอย่างมาก ทั้ง การพาทีมเป็นแชมป์ซีเกมซ์, แชมป์ซูซูกิ คัพ และ ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ได้สำเร็จ ก่อนจะตกรอบไปแบบ น่าเสียดาย แต่ประเด็นสำคัญที่ ท่านนายกสมาคม ต้องการคือ การพัฒนาฟุตบอลทีมชาติไทย ให้ก้าวไปประสบความสำเร็จในระดับทวีปเอเชียให้ได้ โดยท่านได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า "ถ้าเข้ามาแล้วไม่ได้พัฒนาอะไรเลย จะเข้ามาทำไม" ซึ่งเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา ตามนิสัยส่วนตัวของท่านเอง การเลือกบุคคลที่จะเข้ามาสานต่องานของ โค้ช ซิโก้ ให้พัฒนาต่อไปนั้น ต้องมีกำหนดกฏเกณฑ์อะไรบ้าง บทความนี้ผมมีข้อพิจารณามาให้ทุกท่านได้ลองคิดกันเล่นๆ ว่า จะเป็นใครดี ระหว่าง โค้ช คนไทย หรือ โค้ช ต่างประเทศ โดยข้อดี ข้อเสีย ที่ผมใช้ปัญญาที่ดูจะมีน้อยของผม คิดออกมามีดังนี้ครับ
*********************************************************************************
โค้ช คนไทย
ข้อดี :
1.รู้ศักยภาพของนักเตะทุกคนดี กว่าชาวต่างชาติ
2.สื่อสาร ระบบแผนการเล่น แท็กติก ต่างๆ กับนักเตะ ได้ดีกว่า เพราะใช้ภาษาเดียวกัน
3.มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักเตะ ทำให้บรรยากาศภายในทีมดี
4.ไม่ต้องเสียเวลาศึกษานักเตะว่าใครเป็นยังไง เพราะได้ดูฟอร์มการเล่นเป็นประจำ
ข้อเสีย:
1.มาตราฐานอาจจะสู้โค้ชต่างชาติไม่ได้
2.ขาดประสบการณ์ในระดับนานาชาติ
3.อาจจะไม่มีอิสระในการทำงานมากนัก เพราะโดนกดดันจากหลายฝ่าย อาจทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่
4.รูปแบบการฝึกซ้อม หรือ การพัฒนาศักยภาพนักเตะ อาจจะไม่ครบวงจร
*********************************************************************************
โค้ช ต่างชาติ
ข้อดี :
1.ค่อนข้างจะมีมาตราฐาน ผ่านการรับรอง
2.มีประสบการณ์ในฟุตบอลระดับสูง
3.มีระบบการฝึกซ้อม การพัฒนานักเตะ มีมาตราฐาน ทำให้นักเตะได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น
4.ค่อนข้างจะมีอิสระในการทำงาน เพราะ ฝรั่งเวลาเข้ารับงานมักจะเน้นเงื่อนไขในข้อนี้เป็นสำคัญ ทำให้สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้อย่างเต็มที่
ข้อเสีย:
1.อาจมีปัญหาเรื่องสื่อสารกับนักเตะ ต้องใช่ล่ามในการแปล ซึ่งอาจจะไม่ตรงตามความต้องการของโค้ช
2.อาจต้องใช้เวลาในเลือกนักเตะพอสมควรเพราะต้องศึกษาดูฟอร์มการเล่นนักเตะอย่างต่อเนื่อง
3.อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้ากับระบบการทำงานของคนไทย
4.ต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม ของเมืองไทย
*********************************************************************************
จากการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของผม ทุกคนคิดยังไงกันบ้าง จะเพิ่มเติมเสริมแต่งตรงไหน ก็เสนอความคิดกันได้เลยนะครับ ส่วนตัวผมคงคิดได้เท่านี้ ตามที่มันสมองน้อยๆของผมพอจะมี 555 จากนี้ไปก็ต้องคอยติดตามคอยลุ้นกันดูนะครับว่า เราจะได้ใคร มาเป็น โค้ชคนใหม่ ของ ทีมชาติไทย ยังไงซะก็ขอให้ตรงตามจุดประสงค์และความต้องการของแฟนบอลด้วยละกันนะครับ หากเราจะพัฒนา เราจำเป็นจะต้องพัฒนาไปพร้อมๆกัน ทั้ง ทีมฟุตบอล นักเตะ และ แฟนบอล รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง กับวงการฟุตบอล เพื่อ ฟุตบอลทีมชาติไทยของเรา จะได้ก้าวต่อไป ได้อย่างมั่นคง ไปถึงจุดหมายที่ต้องการ ได้อย่าง
"เต็มภาคภูมิ"
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560
อนาคต...ทีมชาติไทย
สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นใน 2 นัดที่ผ่านมา ผมคิดว่าเราสูญเสียสไตล์การเล่นที่ได้ปลุกปั้นมาตั้งแต่ พี่โก้ เริ่มรับงานคุมทีมใหม่ๆ มันคือ สไตล์การต่อบอล ทำชิ่ง เล่นบอล กับพื้น หรือ ติ๊กๆต๊อก ในแบบเมืองไทย
อาจเป็นเพราะความคาดหวัง ในผลการแข่งขันมากเกินไป ดูเหมือนว่าพี่ซิโก้จะปรับเปลี่ยนแท็กติก มีลูกครอส ลูกโยนยาว มากขึ้น ซึ่งผมเห็นว่า มันไม่เข้ากับสรีระ ของนักเตะไทยมากนัก ถึงเราจะมีเจ้า ปีโป้ อยู่ในทีมก็ตาม การเล่นบอลโยนยาว ทั้งที่ๆ ทีมของเรามีผู้เล่นตัวเล็กนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จะเห็นว่าในเกมที่พบกับซาอุ เราไม่ได้เปรียบจากการเล่นลูกกลางอากาศเลย โยนๆก็โดนเขาโหม่งกลับ แต่กลับกัน ซาอุ กลับว่างแท็กติก มาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจี้ถูกจุด โดยใช้จุดแข็งของตัวเอง คือ รูปร่างที่ได้เปรียบ การยกบอลข้ามกองหลัง สามารถทำได้บ่อยครั้ง สร้างความได้เปรียบให้กับทีม จนนำไปสู่ประตูขึ้นนำ
ถามว่า ถ้าจะเปรียบเทียบคุณภาพของทีมชาติไทย กับ ทีม เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ ออสเตเรีย เราเองยังคงห่างกับทีมเหล่านั้นอยู่มาก แต่ถ้าเป็นทีมในโซนตะวันออกกลาง อาหรับ ผมคิดว่า เรามีความใกล้เคียงสูสี พอสู้กับพวกเขาได้ สิ่งที่เราต้องปรับปรุง คือ ความละเอียด และ สมาธิ ในการเล่นมากกว่า ที่สำคัญคือ เราต้องไม่หลงเกมของตัวเอง ต้องเชื่อมั่นในสไตล์ การเล่นของตัวเอง ไม่ปรับไปเปลี่ยนมาบ่อยๆ ต้องพยายามนำจุดแข็งที่เรามี มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างที่เราเคยทำได้มาแล้ว
การเข้าทำ ด้วยการผ่านบอล ถึง 22 ครั้ง ถือเป็นสิ่งที่เราควรจะนำมาเป็นหลักในการเล่น ถึงแม้ว่า บางครั้งมันจะมีปัจจัย หลายๆอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เราก็ไม่ควรทิ้งรูปแบบการเล่นของตัวเองไป
หากเรายังคงต้องการฝันไกล ไปบอลโลก สิ่งที่แรกที่เราต้องมี คือ ความเชื่อ เชื่อว่าเราทำได้ เชื่อในรูปแบบ เชื่อในหนทางของตัวเอง อย่าถอดใจ อย่าล้มเลิกกลางทาง แล้ววันหนึ่ง
"ความฝันมันจะกลายเป็นจริง"
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560
เกม 5 ดาว
ถ้ามีใครได้ชมการแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คู่บิ๊กแมตท์ในวันอาทิตย์ ระหว่าง
แมนซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล ที่ทั้งสองทีม เสมอกันไปแบบสุดมัน ด้วย สกอร์ 1-1 คงจะคิดเหมือนผมนะครับว่า เราไม่ได้ดูฟุตบอลมันๆ แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ปัจจุบันฟุตบอลสมัยใหม่ จะเน้นแท็กติก และผลการแข่งขันเป็นหลัก ทำให้นักเตะไม่ค่อยมีอิสระในการเล่นมากนัก เกมที่ออกมาจึงดูน่าเบื่อ ไม่เร้าใจ โดยเฉพาะเมื่อทีมใหญ่เจอกันมักจะเล่นกันแบบกล้าๆกลัวๆ แต่ไม่ใช้กับเกมนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มเกมจนจบเกม แทบไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจกันเลย ผลัดกันทั้งรุกและรับกันอย่างสนุก เชื่อว่าเหล่ากองเชียร์ คงนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่นอน เพราะแต่ละทีมมีลุ้นที่จะชนะ แทบทุกวินาที เกมมีความลื่นไหล อาจมีการทำฟาวล์กันบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เกมหยุดไปนาน เรียกว่าเปิดหน้าแลกหมัด กันอย่างเมามัน
ด้วยการเป็นทีมที่เล่น เกมรุก ทั้งคู่ และ มีอันดับที่ใกล้เคียงกัน การแข่งขันจึงมีสูงมาก ทำให้นักเตะมีความกดดัน นัดกันเล่นผิดพลาดแบบไม่น่าเชื่อ เป็นเสนห์อีกอย่างหนึ่งของฟุตบอล ทั้ง ลัลลานา และ กุน อเกวโร่ ที่พลาดการทำประตูแบบ จ่อๆ หน้าประตู หากทั้งสองทีม ไม่อยู่ในสภาวะกดดัน ผมคิดว่า น่าจะมีประตูให้เราได้เห็นมากกว่านี้ แต่ถึงยังไงผมก็ยังคิดว่า เกมนี้ คือ เกมที่คลาสสิคอีกเกมหนึ่ง และ เป็นเกมที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ฤดูกาลนี้ ซึ่งจะเป็นเกมหนึ่งในความทรงจำของหลายคน รวมทั้งผม ขอติดดาวให้ไปเลย 5 ดาว ส่วนใครที่พลาดชมเกม ผมก็มีไฮไลท์การแข่งขันมาให้ดูกันครับ
*ฟุตบอลคือเกมกีฬาที่มีความเร้าใจ และตื่นเต้น ถึงแม้ปัจจุบันจะมีรูปแบบในการเล่นที่อาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ถึงยังไง ฟุตบอลก็จะยังคงมีเสน่ห์ และน่าติดตาม เสมอ
#Pairoj13
แมนซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล ที่ทั้งสองทีม เสมอกันไปแบบสุดมัน ด้วย สกอร์ 1-1 คงจะคิดเหมือนผมนะครับว่า เราไม่ได้ดูฟุตบอลมันๆ แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ปัจจุบันฟุตบอลสมัยใหม่ จะเน้นแท็กติก และผลการแข่งขันเป็นหลัก ทำให้นักเตะไม่ค่อยมีอิสระในการเล่นมากนัก เกมที่ออกมาจึงดูน่าเบื่อ ไม่เร้าใจ โดยเฉพาะเมื่อทีมใหญ่เจอกันมักจะเล่นกันแบบกล้าๆกลัวๆ แต่ไม่ใช้กับเกมนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มเกมจนจบเกม แทบไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจกันเลย ผลัดกันทั้งรุกและรับกันอย่างสนุก เชื่อว่าเหล่ากองเชียร์ คงนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่นอน เพราะแต่ละทีมมีลุ้นที่จะชนะ แทบทุกวินาที เกมมีความลื่นไหล อาจมีการทำฟาวล์กันบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เกมหยุดไปนาน เรียกว่าเปิดหน้าแลกหมัด กันอย่างเมามัน
ด้วยการเป็นทีมที่เล่น เกมรุก ทั้งคู่ และ มีอันดับที่ใกล้เคียงกัน การแข่งขันจึงมีสูงมาก ทำให้นักเตะมีความกดดัน นัดกันเล่นผิดพลาดแบบไม่น่าเชื่อ เป็นเสนห์อีกอย่างหนึ่งของฟุตบอล ทั้ง ลัลลานา และ กุน อเกวโร่ ที่พลาดการทำประตูแบบ จ่อๆ หน้าประตู หากทั้งสองทีม ไม่อยู่ในสภาวะกดดัน ผมคิดว่า น่าจะมีประตูให้เราได้เห็นมากกว่านี้ แต่ถึงยังไงผมก็ยังคิดว่า เกมนี้ คือ เกมที่คลาสสิคอีกเกมหนึ่ง และ เป็นเกมที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ฤดูกาลนี้ ซึ่งจะเป็นเกมหนึ่งในความทรงจำของหลายคน รวมทั้งผม ขอติดดาวให้ไปเลย 5 ดาว ส่วนใครที่พลาดชมเกม ผมก็มีไฮไลท์การแข่งขันมาให้ดูกันครับ
*ฟุตบอลคือเกมกีฬาที่มีความเร้าใจ และตื่นเต้น ถึงแม้ปัจจุบันจะมีรูปแบบในการเล่นที่อาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ถึงยังไง ฟุตบอลก็จะยังคงมีเสน่ห์ และน่าติดตาม เสมอ
#Pairoj13
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560
รอรับได้เลย.....
(Away goal ) การตกรอบครั้งนี้ ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้า ก็ยังไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีได้ในเวทียุโรป ถึงแม้ว่าจะได้ ผจก.ทีมฝีมือดีเข้ามาทำทีม ก็ตาม หนังม้วนเดิมที่เคยฉาย ก็ยังวนเวียนกลับมาฉายหลอกหลอน ทีมเรือใบอีกครั้ง
จากความพ่ายแพ้ ดังกล่าวทำให้ ผจก.ทีม อย่าง เป็ป เตรียมยกเครื่องทีมใหม่หมด ตามกระแส ข่าวจากสื่อ ต่างๆ ที่ค่อนข้างจะมีมูลความจริง ด้วยการโล๊ะนักเตะหน้าเดิมๆ ที่เพิ่มเติมด้วยอายุ และ กำลังจะหมดสัญญา รวมถึงนักเตะ ระดับซุปตาร์ ที่ฟอร์มไม่ดี และเล่นไม่เข้าระบบของ เป็บ รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะถูกโล๊ะจากทีม เช่น โคลารอฟ ,โจ ฮาร์ท ,แฟร์นันโด ,ซาบาเลต้า ,ซ่านย่า ,กลีซี่ และอาจจะรวมถึง กุน อเกวโร่ และ กัปตันมอร์เฟียส แวร์ซอง กองปานี ด้วย ซึ่งระยะหลังเขาประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง และแทบจะไม่ได้ลงสนามช่วยทีมเลย
ถ้าหากสิ่งที่สื่อนำเสนอออกมาเป็นเรื่องจริง บรรดาทีมเล็ก ทีมน้อย รวมถึง ทีมใหญ่ๆ บางทีม เตรียมลูบปากรอได้เลย เพราะ กำลังจะได้ของดี ราคาหย่อมเยา มาใช้งาน เผลอๆ อาจจะไม่ต้องเสียเงินเลยสักแดงเดียว จากการวิเคราะห์ของผม สไตล์การทำทีม ของ เป็ป จะชื่นชอบนักเตะ ที่มีทักษะดีและอายุน้อย เพื่อให้เล่นเข้ากับ ระบบ ติกะตะกะ ของเขาที่ต้องมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา กองหลังก็ต้องมีความเร็ว และ สามารถสอดขึ้นไปทำประตูได้
การเปลี่ยนแปลงทีมในช่วงหน้าร้อนของ แมน ซิตี้ ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ส่วนจะมากจะน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวของ เป็ป เอง ว่าจะเก็บเหล่านักเตะซุปตาร์ ราคาค่าเหนื่อยแพงเหล่านี้ไว้ใช้งานต่อรึเปล่า
เรื่องราวในทีมเรือใบสีฟ้า จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็ป กวาดิโอล่า จะร้องเพลงพี่โต้ชีริ๊ก ติ๊กซีโร่ (รอรับได้เลย ไม่เคยบิดพริว) รึเปล่า อีกไม่นานพวกเราคงได้รู้กัน
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560
ขิงแก่แต่ยังมีไฟ
สวัสดีครับทุกท่าน...หากเอ่ยคำว่าขิงแก่...หลายคนคงจะนึกถึง..เหล่า สว. สูงวัย คนมีอายุมาก ผู้อาวุโส อะไรทำนองนี้ นะครับ ในวงการอื่น คนที่มีอายุ อยู่ระหว่าง 34-40 ปี ก็ถือว่ายังไม่แก่เลยเป็นวัยที่กำลังเริ่มต้นสร้างฐานะที่มั่นคงใช่มั้ยครับ แต่สำหรับวงการกีฬาแล้ว โดยเฉพาะวงการฟุตบอล คนที่มีอายุในกลุ่มนี้ถือว่า อยู่ในช่วงใกล้เกษียณ ของอาชีพแล้ว ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า มีนักเตะคนไหนบ้างที่ อายุมากแล้วแต่ยังสามารถเล่นฟุตบอลได้ดีอยู่ ที่เราเรียกว่า "ขิงแก่แต่ก็ยังมีไฟ" ไปติดตามกันเลยครับ
5. เกปเลร์ ลาเวรัง ลีมา ฟีไรรา (เปเป้) รีล มาดริด อายุ 34 ปี
เปเป้ หรือ เดอร์บีส ที่ในวงการฟุตบอลเขาชอบเรียกกัน มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง ถึงลูกถึงคน เขาช่วยพาทีมชาติโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ ยูโร 2016 มาครองเป็นครั้งแรก ได้สำเร็จ
ในระดับสโมสร เปเป้ ก็ประสบความสำเร็จมากมาย ถึงแม้ระยะหลังจะไม่ค่อยได้ลงเล่น เพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวน และมีกองหลังรุ่นใหม่ๆขึ้นมาสอดแทรก แต่ทุกครั้งที่ได้รับโอกาส เขาก็สามารถทำผล
ได้ดี
1.ซลาตัน อิบราฮีโมวิช แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อายุ 35 ปี
อันดับ 1 คงเป็นใครไม่ได้ นอกจากยักษ์เดน คนนี้ ไม่ว่าเขาจะย้ายไปอยู่กับสโมสรไหน ก็ประสบความสำเร็จ ด้วยความสามารถในการเล่น เทคนิค การจบสกอร์ที่ดี และ มีส่วนร่วมกับทีมตลอดเวลา ทำให้เขาเป็นตัวหลักที่ ยูไนเต็ด ขาดไม่ได้ในตอนนี้ อิบรา ทำประตูให้ แมน ยู ในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 15 ลูก ทำให้เขาเป็นนักเตะที่ทำประตูมากที่สุด ของ แมนยู ในตอนนี้ และกดไปทั้งหมด 26 ประตูรวมในทุกรายการ
ด้วยสไตล์การเล่นที่หาจังหวะและใช้เทคนิค ไม่ต้องใช้พลังกำลังมากมาย ทำให้ ซลาตัน ยังคงโลดแล่นในวงการฟุตบอลได้อย่างสบาย
2.จานลุยจิ บุฟฟ่อน ยูเวนตุส อายุ 39 ปี
อดีตผู้รักษาประตู อันดับ 1 ของโลกชาวอิตาเลี่ยน คนนี้ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นของตัวเองได้เป็นอย่างดี ถึงแม้อายุจะย่างเข้าเลข 4 แล้วก็ตาม ถึงแม้ในบางจัวหวะดูจะช้าลงไปบ้าง แต่เขา ก็ยังคงรั้งตำแหน่งมือ 1 ของ ยูเวนตุส และทีมชาติอิตาลี ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เขาลงเล่นให้กับ ยูเว่ ไปแล้วกว่า 458 นัด
3.อาริส อาดูริส แอตเลติก บิลเบา อายุ 36 ปี
หัวหอกทีมชาติสเปน มาฟอร์มดีเมื่อตอนอายุมากแล้ว ใครจะเชื่อว่านักเตะในวัย 36 ปีจะถูกเรียกตัวติดทีมชาติได้ ด้วยความทุมเท พยายาม และ ความมีวินัยในการรักษาสภาพร่างกาย ทำให้เขายังอยู่ในเส้นทางการค้าแข้ง อาดูริส ช่วยผลิตประตูให้กับ บิลเบา ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเขาทำไปแล้ว 31 ประตูรวมทุกรายการ ช่วยทำให้ทีมสามารถรั้ง อันดับ 7 ใน ลาลีกา ลีก มีลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลหน้า จุดเด่นของ อาดูริส คือ สามารถเล่นลูกกลางอากาศได้ดี เขาช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกของสเปน ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
4.เจอร์เมน เดโฟ ซันเดอร์แลนด์ อายุ 34 ปี
เดโฟ กดไป 14 ประตูให้กับ ซันเดอร์แลนด์ ทีมท้ายตารางของ พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นผลงานที่ตรงกันข้ามกับทีม เดโฟ ผ่านจุดพีคของอาชีพมาแล้วตอนที่เขาค้าแข้งอยุ่กับ ทีม สเปอร์ หลังจากย้ายออกจากทีมไปในปี 2008 ก็ร่อนเร่ไปอยุ่กับหลายสโมสรและกลับไปกลับมากับ ท็อตแนม จนล่าสุดย้ายมาอยุู่กับแมวดำ ซันเดอร์แลนด์ แล้วเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอล แมวดำ ผิดหวัง ถึงแม้ผลงานของทีมจะไม่ดี แต่เขาก็ยังสามารถ ขึ้นไปอยู่ในอันดับ 4 ของตารางดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ได้
เปเป้ หรือ เดอร์บีส ที่ในวงการฟุตบอลเขาชอบเรียกกัน มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง ถึงลูกถึงคน เขาช่วยพาทีมชาติโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ ยูโร 2016 มาครองเป็นครั้งแรก ได้สำเร็จ
ในระดับสโมสร เปเป้ ก็ประสบความสำเร็จมากมาย ถึงแม้ระยะหลังจะไม่ค่อยได้ลงเล่น เพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวน และมีกองหลังรุ่นใหม่ๆขึ้นมาสอดแทรก แต่ทุกครั้งที่ได้รับโอกาส เขาก็สามารถทำผล
ได้ดี
*********************************************************************************
ผู้เล่นที่ผมได้จัดลำดับมานั้นคงจะอยู่ในใจหลายท่านอยู่แล้วใช่ครับ ส่วนใหญ่ผู้เล่นที่มีอายุมาก แต่ยังสามารถเล่นได้ฟุตบอลได้ดีอยู่ก็จะเป็น ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู หรือ กองหน้า เพราะเป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องใช้พลังงานมากมาย สภาพร่างกายไม่สึกหรอมาก ไม่เหมือนตำแหน่ง กองกลาง ที่ต้องวิ่งขึ้นลงตลอดเวลา ระยะเวลาในการใช้งานจึงมีไม่มาก ปัจจัยอีกอย่างที่สำคัญ สำหรับผู้เล่นก็คือ วินัย ในตัวเอง การกิน การดื่ม การเที่ยว มีผลกับสภาพร่างกายทั้งสิน ใครที่อย่างให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองครับ สำหรับบทความนี้ คงต้องลาไปก่อน ในบทความต่อไปผมจะมีอะไรมาแบ่งปัน กันอีกต้องคอยติดตามกันครับ
*********************************************************************************
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560
อนาคตของ...เจ๊แวง
อนาคต ของ อาร์แซน แวงเกอร์ กับ ทีม ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล คงจะไม่แน่นอนซะแล้วนะครับ หลังจาก แฟนบอล ออกมาเรียกร้อง ให้บอร์ดบริหารปลด ผจก.ทีมชาว ฝรั่งเศส คนนี้ให้พ้นทีม เนื่องจากพักหลังผลงานไม่ค่อย เริ่มตั้งแต่ เกม แชมป์เปี้ยนลีก ที่ออกไปแพ้ให้กับ เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค อย่างยับเยิน
5-1 แล้วก็มาแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล 3-1 ล่าสุด ก็ถูก บาเยิร์น ย้ำแค้นอีกครั้ง ด้วยสกอร์เดิม 5-1
อาร์เซน่อล ไม้ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก มา 6,7 ปีแล้ว แชมป์ล่าสุดที่ทำได้คือ เอฟ เอ คัพ ในปี 2015 ผลงานโดยร่วมทั่วไป ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย ทีมก็สามารถผ่านไปเล่น รายการยุโรป ได้แทบทุกปี แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า อาร์เซ่นอลไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ได้ในเวที ยุโรป ปัญหาของอาร์เซน่อล คือการไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้คงเส้นคงวาได้ สังเกตุดูได้จาก ช่วงต้นฤดูกาจะฟอร์มดีมาก เก็บชัยชนะได้ตลอด แต่พอเข้าช่วงคริสมาสต์ ทีมปืนใหญ่ จะเริ่มแพ่วลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะเป็นแบบนี้แทบทุกปี ปัญหาสะสมของ อาร์เซน่อล น่าจะเริ่มต้นมาจาก การสร้างสนามใหม่ คือ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แทนที่สนามเดิม คือ ไฮบิวรี่ ที่มีขนาดเล็ก และ แออัด ซึ่งการสร้างสนามใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมนั้นต้องใช้งบประมาณมหาศาล วิธีที่จะหาเงิน เข้ามาช่วยสโมสรได้ คือ การขายนักเตะ ตัวหลักของทีม ออกไปบ้าง เพื่อนำเงินเข้ามา และ ลดค่าใช้จ่ายลง เราจึงเห็นนักเตะตัวหลักๆ ของทีม ตบเท้ากันย้ายออกไป ทีมที่เป็นลูกค้าของอาร์เซน่อล ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นทีม จากแมนเชสเตอร์ ทั้ง 2 ทีม โดยเฉพาะ ทีมเรือใบสีฟ้า ที่เป็นลูกค้าชั้นดีเยี่ยม นักเตะที่ย้ายไป แมน ซิตี้ ก็มี โคโร่ ตูเล่ ,กาแอล กลี่ชี ,นาสรี่ ,อเดบาร์ยอ และ บาการี่ ซานย่า เรียกว่า เกือบครี่งทีม นอกจากนี้ ยังขายให้ทีมอื่นๆ อีก เช่น ฟาร์เบกาส ไป บาร์ซ่า วาน เปอร์ซี ไป แมนยู การขายนักเตะตัวหลัก ออกไป ทำให้ทีมขาดเสถียรภาพ ถึงแม้จะได้ผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามา ก็ไม่สามารถทดแทนของเดิมที่ออกไปได้ เพราะนักเตะที่ขายออกไป ส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่อยู่ด้วยกันมานาน เกิดจากการปลุกปั้น ออก แวงเกอร์ ทั้งสิ้น การเห็นเพื่อน เดินออกจากทีม ไปที่ละคน สองคน ทำให้สภาพจิตใจ ถดถอย
ด้วยนโยบายประหยัดแบบนี้ ทำให้ อาร์เซน่อล สามารถสร้างสนามเสร็จ และใช้หนี้ได้หมด การบริหารงานที่มีคุณภาพ ของ บอร์ดบริหาร และ อาร์แซน แวงเกอร์ ทำให้ทีม มีกำไร ใน 2-3 ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนมันจะสวนทางกับความสำเร็จของสโมสร ถึงแม้ว่าทีมจะพยายาม นำนักเตะคุณภาพเข้ามาในทีม อาทิ เช่น เมชุส โอซิล ,อเล็กซิส ซานเซส แต่ดูเหมือนว่า ทิศทางของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น ปืนใหญ่ทำผลงานได้ดี เมื่อเจอทีมที่ต่ำชั้นกว่า แต่เมื่อเจอ ทีมระดับเดียวกัน หรือ สูงกว่า กลับทำได้ไม่ดี นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ อาร์เซน่อล ไม่ประสบความสำเร็จในช่วงหลัง
ทำไม บรรดาแฟนบอลถึงเรียกร้อง ให้ปลด อาแซน แวงเกอร์ ทั้งๆ ที่เขาคือคนที่นำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาสู่ สโมสร ผมจะจำแนกให้เป็นข้อๆ ตามความคิดของผม ดังนี้ครับ
1.การแข่งขันที่สูงขึ้น ปัจจุบัน วงการฟุตบอลมีการแข่งขันที่สูงมากๆ ด้วยกลุ่มทุนจากอาหรับ หรือ เอเชีย เขามามีบทบาท กับวงการฟุตบอล ทั่วทั้งยุโรป ซึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้ มีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล สามารถ เสกความสำเร็จให้เกิด ได้ในพริบตา การเข้ามาของกลุ่มทุนเหล่านี้ทำให้หลายสโมสร เปลี่ยนแปลง จากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ อาร์เซน่อล ยังย่ำอยู่กับที่
2.ทำทีมนานเกินไป การทำทีมเป็นเวลานานๆ ย่อมเกิดการเหนื่อยล้า และ เกิดทางตันในความคิด การเล่นบอลสไตล์เดิม ทำให้คู่แข่งสามารถจับทางได้หมด ไม่ว่าจะมาแบบไหน เหมือน รู้ใส้รู้พุง ทุกขด
จะเห็นว่า มีหลายเกม ที่ แวงเกอร์ เอาแต่กุมขมับ ไม่รู้จะแก้เกมยังไง
3.นโยบายการซื้อตัวนักเตะ ผู้เล่นที่ แวงเกอร์ ชื่นชอบ มักจะเป็นผู้เล่นที่มีความคล่องตัว และ ความเร็ว
เล่นบอลบนพื้นได้ดี แต่มักจะเป็นผู้เล่นที่ตัวเล็ก บอบบาง เมื่อต้องเจอ กับ การเล่นที่มีการเข้าปะทะหนักหน่วง และ รวดเร็ว ทำให้นักเตะ เหล่านี้ บาดเจ็บได้ง่าย ถึงแม้ในช่วงหลัง จะดึงผู้เล่นตัวใหญ่เขามา แต่ก็ไม่ใช้พวกแข็งแรงบึกบึนอะไรมากมาย การไม่มีผู้เล่นที่ตัวใหญ่ น่าเกรงขามในทีม ทำให้ไม่มีใครกลัว
อาเซน่อล ต่างจากยุค ไร้พ่าย ที่มีทั้ง ปาทริก วิเอร่า ,กิลเบอร์โต ซิลวส และ โรแบร์ ปีแรส ซึ่งตัวใหญ่และน่ากลัวมาก
4.อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทีม อย่างที่ทราบกันว่า อาร์เซ่น่อลไม่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก มา 7 ปีแล้ว มันบ่งบอกถึงอะไร ทั้่งที่ศักยภายของ อาร์เซน่อล ตอนนี้ ไม่ได้แตกต่างจากทีมชั้นนำอื่นๆ มากนัก เหล่าแฟนบอล จึงอยากเห็น ผจก.ทีม รุ่นใหม่ไฟแรง เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีม เพื่อยกระดับให้ดีขึ้นมากกว่าเดิม
ตัวนักเตะ เอง ก็คงจะคิดเหมือนๆกัน การฝึกซ้อมเดิมๆ แท็กติก เดิมๆ ก็ย่อมจะน่าเบื่อเป็นธรรมดา
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเลย คือ เลสเตอร์ พอเปลี่ยน ผจก.ทีม ปุ๊บ ผลงานดีขึ้นทันตาเห็น อีกทีม คือ
เชลชี ถึงจะเป็น ผจก.ทีม ที่เก่งกาจสามารถ อย่าง มูรินโญ่ ก็ยังต้องลาทีม เพราะนักเตะส่วนใหญ่ เบื่อหน่าย และ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการทำทีม ผมว่า แวงเกอร์ ก็คงตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
5.ปัญหาภายในทีม ปัญหาส่วนตัว นักเตะ ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ การต่อสัญญา หรือไม่ต่อ การจะย้ายหรือไม่ย้าย เหล่านี้ ล้วนเป็นปัญหา ที่บั่นทอน กำลังใจของทีม ทั้งสิ้น ตราบใดที่ ฟุตบอล มี เรื่อง ธูรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อไหร่ ก็ต้องมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เมื่อนั้น
คนเราเมื่อมีรัก ก็ย่อม มีเลิกรัก เป็นสัจธรรมของสัตว์โลก ผมว่า แวงเกอร์ สมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องอำลาทีมไป การไปตอนที่มีคนรัก ยังดีกว่า ไปตอนที่คนเกลียด การเปลี่ยนจาก รัก เป็น เกลียด มันแค่ เส้นบางๆ เขาเคยพาทีมขึ้นสู่จุดสูงสุดมาแล้ว และ ตอนนี้กำลังจะร่วงลงมาสู่หุบเหว การยอมเสียสละตัวเอง เพื่อให้คนทีมอยู่รอดได้ ดูจะเป็นทางออกที่ดี ที่สุด ณ ตอนนี้
ยังไงๆ เขาก็ยังคงเป็นที่ยกย่อง ละ จดจำ ของเหล่าสาวก เดอร์กันเนอส์ ตลอดไป ในฐานะ ที่เป็น ผจก.ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด ของ อาร์เซน่อล ไม่มีงานเลี้ยงใด ไม่ย่อมเลิกรา ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ฟุตบอล ก็เช่น กัน
#ขอคาราวะ อาร์แซน แวงเกอร์
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560
10 ศูนย์หน้า....อนาคตไกล ภาคต่อ
จากบทความที่แล้วได้เขียนถึง ศูนย์หน้าอนาคตไกลไปแล้ว 6 คน บทความนี้เราจะมาต่อกันอีก 4 คนไปดูกันเลยว่ามีใครบ้าง
7.Alexandre Lacazette โอลิมปิก ลียง อายุ 25 ปี ยิง 22 ประตู
เหตุผลที่ผม ให้เขามาในอันดับที่ 7 คือ ลีกเอิง เป็นลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าบรรดาลีกใหญ่ๆ ในยุโรป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลีกเขาไม่ดีนะครับ เพียงแต่ได้รับความนิยมน้อยไปนิดหนึ่ง นักเตะที่เล่นในลีกเอิง ส่วนใหญ่จะเป็นนักเตะคุณภาพ เผลอๆอาจะดีกว่าในพรีเมียร์ลีกซะด้วยซ้ำ สังเกตุได้จากนักเตะที่ย้ายจากลีกเอิงมาเล่นในพรีเมียร์ ส่วนใหญ่จะทำได้ดีทุกคน เช่น อาซาร์ ปาเยต์ หรือ ดร็อกบา ก็ย้ายมาจากลีกนี้ ลากาเซ็ตเต้ (ภาษาฝรั่งเศส อ่านยังไงไม่รู้นะ อันนี้อ่านตามภาษาผม) เป็นเป้าหมาายของทีม ปืนโต อาร์เซน่อล มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ถ้าจำไม่ผิดนะ ตัวนักเตะเองมีข่าวกับอาร์เซน่อล อย่างไม่ขายสาย แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ย้ายมา ล่าสุดมีข่าวว่า ลิเวอร์พูล กำลังให้ความสนใจในตัวนักเตะคนนี้
จุดเด่นของเขา คือ ความเร็ว ความคล่องตัว ไปกับบอลดี จบสกอร์ดี หาพื้นที่ว่างได้ตลอด และยังสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง เขาไม่ใช่กองหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเล่นเป็นตัวทำเกมได้ ออกไปเล่นด้านข้างได้ แบบนี้คงจะเข้า สไตล์ของ อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ได้เป็นอย่างดี ไซต์มินิแบบนี้ เจ๋ชอบ 5555 ต้องรอดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว ลากาแซ็ต จะลงเอยกับทีมไหน
8.Timo Werner แอร์เบ ไลป์ซิก อายุ 21 ปี ยิง 14 ประตู
เวอร์เนอร์ เป็นอดีตเด็กปั้นของ ทีม ม้าขาว สตุทการ์ด แห่ง บุนเดสลีกา เยอรมัน พึ่งย้ายมาอยู่ กับ ไลป์ซิก ที่พึ่งจะเลื่อนชั้นขึ้นมา ในฤดูกาลนี้ ผลงานของทีมน้องใหม่ เรียกว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ ปัจจุบันพวกเขาทำผลงานรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง ของ บุนเดสลีกาอยู่ เวอร์เนอร์ เป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วย พรสวรรค์ จุดเด่น หาพื้นที่ในการเล่นได้ดี ควบคุมบอลดี มีส่วนร่วมในเกม และยังมีความเร็วอีกด้วย คาดว่าคงจะมีเหล่าแมวมอง จับตาดูอยู่ไม่ใช้น้อย อย่างไรก็ตาม ตัวเขายังต้องพัฒนาการเล่นอีกซักระยะหนึ่ง ถ้าได้อยู่ในมือของโค้ชเก่งๆ วอร์เนอร์ ต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน
9.Steve Mounie มงเปอลิเย่ อายุ 22 ปี ยิง 12 ประตู
ทีมของเขา อยู่ในอันดับ 13 ของตารางคะแนน แต่ผลงานส่วนตัวแจ่มเหลือเกิน กดไป 12 ตุง อยู่ในอันดับ 5 ของดาวซัลโว คงต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลย จุดเด่น ปฏิกิริยาในการทำประตู ความเร็ว และ อ่านเกมดี เชื่อมเกม ทำเกมได้
10.Alvaro Morata รีล มาดริด อายุ 24 ปี ยิง 8 ประตู
โมราต้า ทำผลงานได้ดีมากตอนที่เล่นให้กับ ยูเว่ แต่พอเขาย้ายกลับมายัง รีล มาดริด ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นเท่าที่ควร ส่วนใหญ่จะลงมาเป็นตัวสำรองซะมากกว่า โมราต้า เป็นนักเตะตัวใหญ๋ แต่มีความคล่องตัว และ เทคนิคดี การหาจังหวะในการทำประตูก็ทำได้ดีเช่นกัน มีข่าวว่า อันโตนิโอ คอนเต้ ต้องการให้มาเล่นให้กับ สิงห์บลู เชลซี คาดว่าในช่วงตลาดหน้าร้อน คงจะมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเขา ออกมาเป็นระยะๆ หากมีการย้ายทีมเกิดขึ้นจริง ค่าตัวของเขา คงจะไม่น้อยเลยที่เดียว
ครบทั้ง 10 คนแล้ว เป็นยังไงบ้างครับ นักเตะที่ผมเลือกมา นักเตะทั้ง 10 คน จัดว่าอยู่ในเกรดที่จะสามารถขยับขึ้นไปได้อีกขั้น หากได้อยู่ถูกที่ถูกเวลา อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวนักเตะเอง ว่าจะเลือกแบบไหน ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่หลายคน ที่ย้ายทีมแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าอยากดูฟอร์มของพวกเขาเหล่านี้ ก็สามารถเข้าไปดูได้ตาม Youtube นะครับ หรือ ถ้าหาก ว่ามีนักเตะในดวงใจของท่าน อยากนำเสนอบ้าง ก็คอมเมนต์กันมาได้เลยใต้โพสต์ หากอยากย้อนดู 6 อันดับแรก ก็ดูได้ตามลิงค์นี้นะครับ 10 ศุนย์หน้าอนาคตไกล 6 อันดับแรก
บทความหน้า ผมจะมีเรื่องราวอะไรมานำเสนอ ค่อยติดตามกันนะครับ
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Kurubanban
7.Alexandre Lacazette โอลิมปิก ลียง อายุ 25 ปี ยิง 22 ประตู
เหตุผลที่ผม ให้เขามาในอันดับที่ 7 คือ ลีกเอิง เป็นลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าบรรดาลีกใหญ่ๆ ในยุโรป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลีกเขาไม่ดีนะครับ เพียงแต่ได้รับความนิยมน้อยไปนิดหนึ่ง นักเตะที่เล่นในลีกเอิง ส่วนใหญ่จะเป็นนักเตะคุณภาพ เผลอๆอาจะดีกว่าในพรีเมียร์ลีกซะด้วยซ้ำ สังเกตุได้จากนักเตะที่ย้ายจากลีกเอิงมาเล่นในพรีเมียร์ ส่วนใหญ่จะทำได้ดีทุกคน เช่น อาซาร์ ปาเยต์ หรือ ดร็อกบา ก็ย้ายมาจากลีกนี้ ลากาเซ็ตเต้ (ภาษาฝรั่งเศส อ่านยังไงไม่รู้นะ อันนี้อ่านตามภาษาผม) เป็นเป้าหมาายของทีม ปืนโต อาร์เซน่อล มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ถ้าจำไม่ผิดนะ ตัวนักเตะเองมีข่าวกับอาร์เซน่อล อย่างไม่ขายสาย แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ย้ายมา ล่าสุดมีข่าวว่า ลิเวอร์พูล กำลังให้ความสนใจในตัวนักเตะคนนี้
จุดเด่นของเขา คือ ความเร็ว ความคล่องตัว ไปกับบอลดี จบสกอร์ดี หาพื้นที่ว่างได้ตลอด และยังสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง เขาไม่ใช่กองหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเล่นเป็นตัวทำเกมได้ ออกไปเล่นด้านข้างได้ แบบนี้คงจะเข้า สไตล์ของ อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ได้เป็นอย่างดี ไซต์มินิแบบนี้ เจ๋ชอบ 5555 ต้องรอดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว ลากาแซ็ต จะลงเอยกับทีมไหน
8.Timo Werner แอร์เบ ไลป์ซิก อายุ 21 ปี ยิง 14 ประตู
เวอร์เนอร์ เป็นอดีตเด็กปั้นของ ทีม ม้าขาว สตุทการ์ด แห่ง บุนเดสลีกา เยอรมัน พึ่งย้ายมาอยู่ กับ ไลป์ซิก ที่พึ่งจะเลื่อนชั้นขึ้นมา ในฤดูกาลนี้ ผลงานของทีมน้องใหม่ เรียกว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ ปัจจุบันพวกเขาทำผลงานรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง ของ บุนเดสลีกาอยู่ เวอร์เนอร์ เป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วย พรสวรรค์ จุดเด่น หาพื้นที่ในการเล่นได้ดี ควบคุมบอลดี มีส่วนร่วมในเกม และยังมีความเร็วอีกด้วย คาดว่าคงจะมีเหล่าแมวมอง จับตาดูอยู่ไม่ใช้น้อย อย่างไรก็ตาม ตัวเขายังต้องพัฒนาการเล่นอีกซักระยะหนึ่ง ถ้าได้อยู่ในมือของโค้ชเก่งๆ วอร์เนอร์ ต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน
9.Steve Mounie มงเปอลิเย่ อายุ 22 ปี ยิง 12 ประตู
ทีมของเขา อยู่ในอันดับ 13 ของตารางคะแนน แต่ผลงานส่วนตัวแจ่มเหลือเกิน กดไป 12 ตุง อยู่ในอันดับ 5 ของดาวซัลโว คงต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลย จุดเด่น ปฏิกิริยาในการทำประตู ความเร็ว และ อ่านเกมดี เชื่อมเกม ทำเกมได้
10.Alvaro Morata รีล มาดริด อายุ 24 ปี ยิง 8 ประตู
โมราต้า ทำผลงานได้ดีมากตอนที่เล่นให้กับ ยูเว่ แต่พอเขาย้ายกลับมายัง รีล มาดริด ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นเท่าที่ควร ส่วนใหญ่จะลงมาเป็นตัวสำรองซะมากกว่า โมราต้า เป็นนักเตะตัวใหญ๋ แต่มีความคล่องตัว และ เทคนิคดี การหาจังหวะในการทำประตูก็ทำได้ดีเช่นกัน มีข่าวว่า อันโตนิโอ คอนเต้ ต้องการให้มาเล่นให้กับ สิงห์บลู เชลซี คาดว่าในช่วงตลาดหน้าร้อน คงจะมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเขา ออกมาเป็นระยะๆ หากมีการย้ายทีมเกิดขึ้นจริง ค่าตัวของเขา คงจะไม่น้อยเลยที่เดียว
ครบทั้ง 10 คนแล้ว เป็นยังไงบ้างครับ นักเตะที่ผมเลือกมา นักเตะทั้ง 10 คน จัดว่าอยู่ในเกรดที่จะสามารถขยับขึ้นไปได้อีกขั้น หากได้อยู่ถูกที่ถูกเวลา อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวนักเตะเอง ว่าจะเลือกแบบไหน ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่หลายคน ที่ย้ายทีมแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าอยากดูฟอร์มของพวกเขาเหล่านี้ ก็สามารถเข้าไปดูได้ตาม Youtube นะครับ หรือ ถ้าหาก ว่ามีนักเตะในดวงใจของท่าน อยากนำเสนอบ้าง ก็คอมเมนต์กันมาได้เลยใต้โพสต์ หากอยากย้อนดู 6 อันดับแรก ก็ดูได้ตามลิงค์นี้นะครับ 10 ศุนย์หน้าอนาคตไกล 6 อันดับแรก
บทความหน้า ผมจะมีเรื่องราวอะไรมานำเสนอ ค่อยติดตามกันนะครับ
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Kurubanban
10 ศูนย์หน้า....อนาคตไกล
กองหน้าดีๆ คงเป็นสิ่งที่หลายๆ ทีมต้องการ เพราะตำแหน่งนี้ถือว่ามีความสำคัญมากในทีม ถ้าหากทีมไหนมีตัวจบสกอร์ที่ดี โอกาสที่จะเป็นผู้ชนะ ก็มีสูง ในปัจจุบันนี้ มี กองหน้ารุ่นใหม่ๆ ฝีเท้าดี ขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ ที่เริ่มจะรวยราลงไปทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็น แมสซี่ หรือ โรนัลโด้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยัง เล่นได้อยู่ แต่อายุก็เริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า อยู่ในช่วงปลายๆ ของชีวิตพ่อค้าแข้งแล้ว อย่างที่เรารู้กันว่า อาชีพนักฟุตบอลนั้น เป็นอาชีพที่มีระยะเวลาสั้น นักเตะคนไหน พอจะกอบกวยได้ก็ต้องรีบทำแล้ว เราจึงเห็นการย้ายทีมแบบ ช็อคๆ อยู่หลายครั้ง ลีกจีน เป็น ลีกที่บรรดานักเตะชอบไปขุดทองกัน
ออกนอกเรื่องไปซะไกลกลับมาที่เรื่องของ กองหน้ากันบ้าง บทความนี้ผมได้คัดเลือกเอากองหน้าที่กำลังฟอร์มดี คาดว่าจะมีอนาคตที่สดใส และก้าวไปถึงการเป็นนักเตะ ระดับโลกได้ มากฝากกัน ลองไปติดตามดูว่า 10 อันดับนักเตะ จะมีใครที่ตรงใจกันบ้าง
1.Pierre-Emerick Aubameyang บุรุสเซีย ดอร์ทมุน อายุ 27 ปี ยิง 21 ประตู
ชื่อนี้คงไม่มีใคร ไม่รู้จัก ในปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนกลับไป 2-3 ปี หลายคนคงจะถามว่า ใครว่ะ! อูบามายอง นักเตะชื่ออ่านยาก คนนี้ สร้างชื่อตัวเองขึ้นมา ด้วยการพาทีม เสือเหลือง ดอร์ทมุน คว้าแชมป์
บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2010-2011 และ 2011-2012 เขาเกิดจากการปลุกปั้นของ JK เยอร์เก็น คล๊อป จากนักเตะโนเนม สู่นักเตะระดับโลก อันที่จริงจะว่าไปเขาเองก็ไม่ใช้นักเตะดาวรุ่งแล้ว เพราะอายุมากพอสมควร เพียงแต่ตัวเขาเองยังไปไม่ถึงจุดที่ตัวเองต้องการ คือ การได้เล่นกับทีมอยู่ในระดับแถวหน้าของยุโรป อย่าง มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า จุดเด่นของ เขา คือ การหาพื้นที่ในการเข้าทำประตู การอยู่ถูกที่ถูกเวลา ร่วมถึงการกระชากลากเลื่อย ก็ทำได้ดี และยังสามารถเล่น ได้หลายตำแหน่งในแดนหน้า สไตล์แบบนี้ ผจก.ทุกคนชอบ
2.Harry kane ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ อายุ 23 ปี ยิง 19 ประตู
นักเตะ สเปอร์ คนนี้ กำลังฟอร์มเข้าฟัก เหลือเกิน อะไรก็คงหยุดการทำประตูของเขาไม่ได้ นัดล่าสุด เคน จัดการซัดไป 2 ตุง ใส่ทีมบ๋วย อย่าง ซันเดอร์แลนด์ จุดเด่นของเขา คือ การยิงบอลที่แม่นยำสุดๆ ทุกครั้งที่เขาได้วางเท้ายิง มีลุ้นเป็นประตูแทบทุกครั้ง และเขายังสามารถยิงประตูได้ทั้งสองเท้า
3.Andrea Belotti โตริโน่ อายุ 23 ปี ยิง 19 ประตู
นักเตะคนนี้ ฟอร์มกำลังร้อนแรง แบบฉุดไม่อยู่ ในศึก กัลโซ่ ขีรี่อา อิตาลี โดยเขานำเป็นดาวซัลโว อยู่ที่ 19 ประตู ศูนย์ทีมชาติอิตาลี คนนี้กำลังเป็นที่จับตามองของบรรดาทีมใหญ่ๆ ในยุโรป จุดเด่นคือ เก็บบอลได้ดี หาพื้นที่เข้าทำประตูอยู่ตลอด มีร่างกายที่แข็งแรง สามารถปะทะกับกองหลังตัวใหญ่ๆ ได้ และเขายังเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมกับทีมมาก ทั้งยิง ทั้งจ่าย คาดว่า ทีมกระทิงหิน คงจะรังเขาเอาไว้ได้ยาก อาจจะมีการย้ายทีมเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์นี้
4. Romelu Lukaku เอฟเวอร์ตัน อายุ 23 ปี ยิง 18 ประตู
ลูกากู ก็ไม่น้อยหน้า แฮรี่ เคน เขาไล่ตาม เคน มาติดๆ โดยยิงไปแล้ว 18 ประตู ลูกากู เริ่มฉายแววความเป็นเพชรฆาต ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ฤดูกาลนี้ได้มาอยู่กับคนที่ดึงศักยภาพนักเตะ เก่ง อย่าง โรนัล คูมัน ยิ่งทำให้เขา เจิดจรัส ยิ่งขึ้น จุดเด่นของ ลูกากู คือ รูปร่างที่สูงใหญ่ แข็งแรง และมีความเร็ว ไปกับบอลได้ดี
ทีเด็ดอีกอย่างของเขาคือ การทำประตูด้วยลูกโหม่ง เรียกว่าครบเครื่อง จริงๆ
5.Antoine Griezmann แอต. มาดริด อายุ 25 ปี ยิง 10 ประตู
กริซมันซ์ ศูนย์หน้าร่างเล็ก คาดว่าเป็นหนึ่งในนักเตะ ที่จะย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์ ทีมที่กำลังให้ความสนใจ และ เป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง คือ ทีมปีศาจแดง แมน ยูไนเต็ด แมนยู กำลังต้องการกองหน้าเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ ของ สลาตัน ที่อายุมากแล้ว ส่วน เวย์น รูนี่ ก็กำลังอยู่ในช่วงขาลง ตำแหน่งกองหน้าจึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน กริซมันน์ มีดี ตรงที่ ความคล่องตัว และ ความเร็ว การหาที่ว่าง และการสอดเข้าไปทำประตู ทำได้ดีมาก สไตล์การเล่นของเขา จะเป็นในลักษณะ กองหน้ากึ่งปีก มากกว่า เพราะบางครั้งเขาก็จะขยับไปเล่นบอลได้ข้าง แต่สไตล์ของเขาไม่รุ้ว่าจะเข้ากับสไตล์ของแมนยู รึเปล่านะ ก็คงต้องรอลุ้นกันว่าสุดท้ายแล้ว กริซมันน์ จะเลือกไปที่ไหน แต่คงจะไม่ย้ายข้ามฟากแน่นอน เพราะจากสถิติที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีนักเตะ จาก แอต. มาดริด ย้ายไปอยู่กับ รีล มาดริด ซักเท่าไหร่
6.Mauro Icardi อินเตอร์มิลาน อายุ 24 ปี ยิง 16 ประตู
กับตันทีมชาวอาร์เจนไตน์ เป็นนักเตะที่มีความสำคัญมาก กับทีม อินเตอร์ ในตอนนี้ ในยุคตกต่ำของทีม ที่ต้องตกอยู่ในร่มเงาของ ยูเวนตุส มานานหลายปี ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยน ผจก.ทีม มาหลายคน ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร เช่นเดียวกับทีมร่วมเมือง อย่าง เอซี มิลาน ปัจจุบัน อินเตอร์ อยู่อันดับ 6 ของตารางคะแนน แต่ผลงานส่วนตัวของเขากลับสวนทางกับทีม โดยเขายิงไปแล้ว 16 ประตูเป็นรองดาวซัลโว อยู่แค่ 3 ประตู อิคาร์ดี้ มีจุดเด่น คือการจบสกอร์ ที่ดี และเล่นลูกกลางอากาศ มีความแข็งแรง ครองบอลดี ฟอร์มดีแบบนี้ ก็เป็นที่จับตามองของทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมอีกแล้ว แต่ตัวเขาจะอยู่ต่อ หรือ จะย้าย ก็คงต้องคอยติดตามกันต่อไป
เป็นยังไงบ้างครับ 6 อันดับแรกที่ผมจัดมาให้ถูกใจกันบ้างรึเปล่า เหลืออีก 4 อันดับ ค่อยมาว่ากันต่อในบทความถัดไปนะครับ ผมกลัวว่ามันจะยืดยาวเกินไป เดี๋ยวจะเมื่อยกันซะก่อน อย่าลืมติดตามละกัน
นะครับ
Please continue
#Pairoj13
ออกนอกเรื่องไปซะไกลกลับมาที่เรื่องของ กองหน้ากันบ้าง บทความนี้ผมได้คัดเลือกเอากองหน้าที่กำลังฟอร์มดี คาดว่าจะมีอนาคตที่สดใส และก้าวไปถึงการเป็นนักเตะ ระดับโลกได้ มากฝากกัน ลองไปติดตามดูว่า 10 อันดับนักเตะ จะมีใครที่ตรงใจกันบ้าง
1.Pierre-Emerick Aubameyang บุรุสเซีย ดอร์ทมุน อายุ 27 ปี ยิง 21 ประตู
ชื่อนี้คงไม่มีใคร ไม่รู้จัก ในปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนกลับไป 2-3 ปี หลายคนคงจะถามว่า ใครว่ะ! อูบามายอง นักเตะชื่ออ่านยาก คนนี้ สร้างชื่อตัวเองขึ้นมา ด้วยการพาทีม เสือเหลือง ดอร์ทมุน คว้าแชมป์
บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2010-2011 และ 2011-2012 เขาเกิดจากการปลุกปั้นของ JK เยอร์เก็น คล๊อป จากนักเตะโนเนม สู่นักเตะระดับโลก อันที่จริงจะว่าไปเขาเองก็ไม่ใช้นักเตะดาวรุ่งแล้ว เพราะอายุมากพอสมควร เพียงแต่ตัวเขาเองยังไปไม่ถึงจุดที่ตัวเองต้องการ คือ การได้เล่นกับทีมอยู่ในระดับแถวหน้าของยุโรป อย่าง มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า จุดเด่นของ เขา คือ การหาพื้นที่ในการเข้าทำประตู การอยู่ถูกที่ถูกเวลา ร่วมถึงการกระชากลากเลื่อย ก็ทำได้ดี และยังสามารถเล่น ได้หลายตำแหน่งในแดนหน้า สไตล์แบบนี้ ผจก.ทุกคนชอบ
2.Harry kane ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ อายุ 23 ปี ยิง 19 ประตู
นักเตะ สเปอร์ คนนี้ กำลังฟอร์มเข้าฟัก เหลือเกิน อะไรก็คงหยุดการทำประตูของเขาไม่ได้ นัดล่าสุด เคน จัดการซัดไป 2 ตุง ใส่ทีมบ๋วย อย่าง ซันเดอร์แลนด์ จุดเด่นของเขา คือ การยิงบอลที่แม่นยำสุดๆ ทุกครั้งที่เขาได้วางเท้ายิง มีลุ้นเป็นประตูแทบทุกครั้ง และเขายังสามารถยิงประตูได้ทั้งสองเท้า
3.Andrea Belotti โตริโน่ อายุ 23 ปี ยิง 19 ประตู
นักเตะคนนี้ ฟอร์มกำลังร้อนแรง แบบฉุดไม่อยู่ ในศึก กัลโซ่ ขีรี่อา อิตาลี โดยเขานำเป็นดาวซัลโว อยู่ที่ 19 ประตู ศูนย์ทีมชาติอิตาลี คนนี้กำลังเป็นที่จับตามองของบรรดาทีมใหญ่ๆ ในยุโรป จุดเด่นคือ เก็บบอลได้ดี หาพื้นที่เข้าทำประตูอยู่ตลอด มีร่างกายที่แข็งแรง สามารถปะทะกับกองหลังตัวใหญ่ๆ ได้ และเขายังเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมกับทีมมาก ทั้งยิง ทั้งจ่าย คาดว่า ทีมกระทิงหิน คงจะรังเขาเอาไว้ได้ยาก อาจจะมีการย้ายทีมเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์นี้
4. Romelu Lukaku เอฟเวอร์ตัน อายุ 23 ปี ยิง 18 ประตู
ลูกากู ก็ไม่น้อยหน้า แฮรี่ เคน เขาไล่ตาม เคน มาติดๆ โดยยิงไปแล้ว 18 ประตู ลูกากู เริ่มฉายแววความเป็นเพชรฆาต ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ฤดูกาลนี้ได้มาอยู่กับคนที่ดึงศักยภาพนักเตะ เก่ง อย่าง โรนัล คูมัน ยิ่งทำให้เขา เจิดจรัส ยิ่งขึ้น จุดเด่นของ ลูกากู คือ รูปร่างที่สูงใหญ่ แข็งแรง และมีความเร็ว ไปกับบอลได้ดี
ทีเด็ดอีกอย่างของเขาคือ การทำประตูด้วยลูกโหม่ง เรียกว่าครบเครื่อง จริงๆ
5.Antoine Griezmann แอต. มาดริด อายุ 25 ปี ยิง 10 ประตู
กริซมันซ์ ศูนย์หน้าร่างเล็ก คาดว่าเป็นหนึ่งในนักเตะ ที่จะย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์ ทีมที่กำลังให้ความสนใจ และ เป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง คือ ทีมปีศาจแดง แมน ยูไนเต็ด แมนยู กำลังต้องการกองหน้าเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ ของ สลาตัน ที่อายุมากแล้ว ส่วน เวย์น รูนี่ ก็กำลังอยู่ในช่วงขาลง ตำแหน่งกองหน้าจึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน กริซมันน์ มีดี ตรงที่ ความคล่องตัว และ ความเร็ว การหาที่ว่าง และการสอดเข้าไปทำประตู ทำได้ดีมาก สไตล์การเล่นของเขา จะเป็นในลักษณะ กองหน้ากึ่งปีก มากกว่า เพราะบางครั้งเขาก็จะขยับไปเล่นบอลได้ข้าง แต่สไตล์ของเขาไม่รุ้ว่าจะเข้ากับสไตล์ของแมนยู รึเปล่านะ ก็คงต้องรอลุ้นกันว่าสุดท้ายแล้ว กริซมันน์ จะเลือกไปที่ไหน แต่คงจะไม่ย้ายข้ามฟากแน่นอน เพราะจากสถิติที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีนักเตะ จาก แอต. มาดริด ย้ายไปอยู่กับ รีล มาดริด ซักเท่าไหร่
6.Mauro Icardi อินเตอร์มิลาน อายุ 24 ปี ยิง 16 ประตู
กับตันทีมชาวอาร์เจนไตน์ เป็นนักเตะที่มีความสำคัญมาก กับทีม อินเตอร์ ในตอนนี้ ในยุคตกต่ำของทีม ที่ต้องตกอยู่ในร่มเงาของ ยูเวนตุส มานานหลายปี ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยน ผจก.ทีม มาหลายคน ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร เช่นเดียวกับทีมร่วมเมือง อย่าง เอซี มิลาน ปัจจุบัน อินเตอร์ อยู่อันดับ 6 ของตารางคะแนน แต่ผลงานส่วนตัวของเขากลับสวนทางกับทีม โดยเขายิงไปแล้ว 16 ประตูเป็นรองดาวซัลโว อยู่แค่ 3 ประตู อิคาร์ดี้ มีจุดเด่น คือการจบสกอร์ ที่ดี และเล่นลูกกลางอากาศ มีความแข็งแรง ครองบอลดี ฟอร์มดีแบบนี้ ก็เป็นที่จับตามองของทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมอีกแล้ว แต่ตัวเขาจะอยู่ต่อ หรือ จะย้าย ก็คงต้องคอยติดตามกันต่อไป
เป็นยังไงบ้างครับ 6 อันดับแรกที่ผมจัดมาให้ถูกใจกันบ้างรึเปล่า เหลืออีก 4 อันดับ ค่อยมาว่ากันต่อในบทความถัดไปนะครับ ผมกลัวว่ามันจะยืดยาวเกินไป เดี๋ยวจะเมื่อยกันซะก่อน อย่าลืมติดตามละกัน
นะครับ
Please continue
#Pairoj13
วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560
ของแสลง
เป็นของแสลงของทีมใหญ่อีกแล้วนะครับ สำหรับทีมเล็กๆอย่าง บอร์นมัธ ทีมกลางตารางในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ล่าสุดก็ออกไปแบ่งแต้มมาได้จาก โรงละครแห่งความฝัน รังของปีศาจแดง ด้วยผลเสมอ 1-1 ต้องบอกว่า บอร์นมัธ ทีมนี้ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขา เคยหักปีกหงส์แดง มาแล้วช่วงต้นฤดูกาล และยังสามารถยันเสมอ อาร์เซน่อล ได้อีกด้วย ปัจจุบันทีมอยู่เหนือโซนตกชั้น อยู่ 5 คะแนน ก็ถือว่ายังไม่ปลอดภัย 100 % ผจก.หนุ่ม อย่าง เอ็ดดี้ ฮาว วัย 39 ปี (รุ่นเดียวกับผมเลย แล้วผมมั่วไปทำอะไรอยู่555) เป็น ผจก. ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ ด้วยอายุอานาม ที่ยังไม่มาก การทำทีมเล็กอย่าง บอร์นมัธ ให้สามารถมาโลดแล่นใน พรีเมียร์ลีกได้ ถือว่าไม่ธรรมดา การทำทีมของเขา ใช้แท็กติก และ ระบบทีม เข้ามาช่วยอย่างแท้จริง เพราะ ด้วยตัวผู้เล่นแล้ว ยังไงก็สู้ทีมใหญ่ไม่ได้ แต่กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่แปลก และไม่สามารถคาดเดาได้เลย อันนี้เซียนพนันคงจะรู้ดี เพราะบางคนอาจจะเจ็บมาเยอะ บางที่ทีมที่ดีกว่า ก็ใช่ว่าจะชนะเสมอไป
ทีมเล็ก หรือ ทีมในระดับปานกลาง คือตัวแปร ที่จะวัดผลว่า ทีมไหนจะไปถึงฝั่งฝัน ทีมเหล่านี้คือปราการด่านสำคัญ ถ้าทีมไหนอยากจะได้แชมป์คงต้องผ่านพวกเขาไปให้ได้เสียก่อน พวกเขาจึงเป็นเหมือนเครื่องมือทดสอบ ความสามารถของบรรดาทีม บิ๊กเนม ทั้งหลาย หากทีมไหนผ่านไปได้ก็มีโอกาสสดใสที่จะคว้าแชมป์ มาครอง แต่ถ้าหาก พลาดท่า ก็คงกระอักกระอวนใจ เหมือนทานของผิดสำแดง แสลงใจกันไป ในอดีตทีมที่เป็นก้างขวางคอชิ้นสำคัญของทีมใหญ่ๆ คือ ทีม สโต๊ค ซิติ้ ซึ่งตอนที่ สโต๊ค เลื่อนชั้นขึ้นมาใหม่ๆ ทีมไหน ก็ยากที่จะเอาชนะ พวกเขาได้ เพราะสไตล์การเล่นของสโต๊ค ตอนที่ โทนี่ พูลิช คุ้มทีมนั้นจะเน้นผู้เล่นตัวใหญ่ แข็งแรง เข้าบอลหนัก และ เล่นบอลกันแบบไดเร็กฟุตบอล คือ การตั้งรับ และ โยนบอลยาว ให้กองหน้าตัวสูงใหญ่โหม่ง หรือ โฉบมาเล่น ทีมไหนเจอกับ สโต๊ค ต้องหนาวๆร้อนๆ กันเป็นแถว ยิ่งทีมที่มีผู้เล่นตัวเล็กๆ อย่าง อาร์เซน่อล (เจ๊เขาชอบ) หรือ ลิเวอร์พูล เจอ สโต๊ค เมือไหร่ มีให้ได้เสียว กันตลอด แต่ในปัจจุบัน สไตล์ของ ทีม สโต๊ค ซิตี้ ได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่เปลี่ยน ผจก.ทีม มาเป็น พี่มาร์ค (ซักคเบิร์ก รึป่าว อ๊ะ ไม่ใช่) ฮิวส์ พวกเขาก็เล่นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จะเน้นการเล่นฟุตบอลบนพื้น มีการต่อบอลทำเกม และการเข้าทำที่หลากหลายมากขึ้น ความเป็นของ แสลง ของทีมใหญ่ๆ ก็เลยลดลงไป พักหลังๆ สโต๊ค แทบจะชนะทีมใหญ่ ไม่ได้เลย ล่าสุด ก็โดน จ่าแฮรี่ กระซวกไปคนเดียว 3 เม็ด แพ้ต่อพี่ไก่เดือยทอง (ต้องเรียกเขาพี่ เพราะเขาเป็นรองจ่าฝูง) แบบหมดรูป 4-0
การต่อสู่แย่งชิงตำแหน่ง กันในทุกลีก ยังคงไม่จบ และพอมีเวลาให้แก้ตัว อยู่พอสมควร การที่ไม่ได้ผลการแข่งขัน อย่างที่หวังมันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของฟุตบอล ทุกอย่างยังคงดำเนินตามวิถีของมันต่อไป
มีผู้แพ้ และ มีผู้ชนะ
"ตราบใดที่ รูรั่วเล็กๆ สามารถทำให้เรือจมได้
ทีมเล็กๆ ก็สามารถทำให้ทีมใหญ่ๆ แพ้ได้เหมือนกัน"
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560
อาการบาดเจ็บของนักฟุตบอล
จากหัวเรื่องในบทความนี้ ถ้าหากใครได้ติดตามข่าวสาร เรื่องวงการฟุตบอล ก็คงจะพอทราบกันว่า นักเตะอดีต กองหน้า ทีมชาติสเปน ของทีมตราหมี แอต. มาดริด เฟอร์นันโต ตอร์เรส ดาวยิงแก้มแดง ได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกที่ศรีษะ สลบการอากาศ ในเกมฟาดแข้ง ฟุตบอล ลาลีกา ลีก ของสเปน ระหว่าง แอต. มาดริด กับ ลาคอรุนญ่า ซึ่งผลออกมา เสมอกันไป 1-1 เอล นินโญ ได้รับบาดเจ็บจากจังหวะถูก อเล็กซ์ เบอร์กานตินอส กระแทกเข้าที่คอ ก่อนหัวลงไปกระแทกกับพื้นอย่างจังจนหมดสติไป แต่ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนนักเตะ และทีมแพทย์ของสโมสร ทำให้ปัจจุบัน ตอร์เรส ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
การบาดเจ็บ กับ นักกีฬา เป็นของคู่กัน คงหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ โดยเฉพาะกับกีฬาที่ต้องมีการปะทะ เช่น ฟุตบอล อเมริกันฟุตบอล หรือ ฮ็อกกี้น้ำแข็ง กีฬาเหล่านี้ บรรดาผู้เล่นจะได้รับบาดเจ็บ ได้ง่าย และ ค่อนข้างบ่อย
ต่างจากกีฬาที่ไม่มีการปะทะ อย่าง เทนนิส , แบดมินตัน หรือ วอลเลย์บอล แต่ก็ใช้ว่านักกีฬาเหล่านี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ซึ่งอาการบาดเจ็บ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้บาดเจ็บได้ พอจะแยกได้ ดังนี้
1.สภาพร่างกายของผู้เล่น
2.ระบบการฝึกซ้อม
3.โปรแกรมการแข่งขัน
4.การปะทะกับคู่แข่ง
เมื่อมีผู้เล่นบาดเจ็บ ก็ย่อมส่งผลต่อการจัดการทีม และ การแข่งขัน โดยเฉพาะกับผู้เล่นที่มีความสำคัญต่อทีม
จะเห็นว่า หลายๆทีม ผลงานจะไม่ค่อยดี ถ้าหากมีผู้เล่นตัวหลักในทีมบาดเจ็บ ผจก.ทีม ก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันไปในแต่ละนัด
ในสมัยปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาในเรื่องสภาพร่างกายของผู้เล่น ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เข้ามาใช้กับการกีฬา หรือที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์การกีฬา ชือภาษาอังกฤษ Sport science อย่างแพร่หลาย วิทยาศาสตร์การกีฬา จะเข้าไปดูแลเกี่ยวกับตัวผู่เล่นโดยเฉพาะ ทั้งเรื่องของสภาพร่างกาย โภชนาการ การวิเคราะห์ผู้เล่น การโค้ช
เทรนนิ่ง ทำให้เหล่าผู้เล่น มีสภาพร่างกายที่ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ปัจจะบันบุคลากรในด้านนี้ ถือว่า ยังขาดแคลนอยู่มากในบ้านเรา เพราะหลายคนยังไม่เห็นความสำคัญ และ ยังไม่มั่นใจในการทำอาชีพ ด้านกีฬา แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ผมคิดว่า อาชีพ เทรนนิ่ง ,อาชีพนักวิเคราะห์ด้านกีฬา หรือ นักเก็บสถิติด้านกีฬา จะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้้น ตามกระแสความนิยม เรื่องกีฬา ของเรา
ถ้าหากน้องๆ คนไหนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเรียนต่ออะไรดี ผมคิดว่า ศาตร์แขนงนี้ น่าสนใจ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีทิศทางและแนวโน้มที่การกีฬาบ้านเราจะเติบโต และ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเทรนของการดูแลสุขภาพ ของคนในปัจจุบัน บุคลากรด้านนี้จึงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แน่นอน
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
การบาดเจ็บ กับ นักกีฬา เป็นของคู่กัน คงหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ โดยเฉพาะกับกีฬาที่ต้องมีการปะทะ เช่น ฟุตบอล อเมริกันฟุตบอล หรือ ฮ็อกกี้น้ำแข็ง กีฬาเหล่านี้ บรรดาผู้เล่นจะได้รับบาดเจ็บ ได้ง่าย และ ค่อนข้างบ่อย
ต่างจากกีฬาที่ไม่มีการปะทะ อย่าง เทนนิส , แบดมินตัน หรือ วอลเลย์บอล แต่ก็ใช้ว่านักกีฬาเหล่านี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ซึ่งอาการบาดเจ็บ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้บาดเจ็บได้ พอจะแยกได้ ดังนี้
1.สภาพร่างกายของผู้เล่น
2.ระบบการฝึกซ้อม
3.โปรแกรมการแข่งขัน
4.การปะทะกับคู่แข่ง
เมื่อมีผู้เล่นบาดเจ็บ ก็ย่อมส่งผลต่อการจัดการทีม และ การแข่งขัน โดยเฉพาะกับผู้เล่นที่มีความสำคัญต่อทีม
จะเห็นว่า หลายๆทีม ผลงานจะไม่ค่อยดี ถ้าหากมีผู้เล่นตัวหลักในทีมบาดเจ็บ ผจก.ทีม ก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันไปในแต่ละนัด
ในสมัยปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาในเรื่องสภาพร่างกายของผู้เล่น ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เข้ามาใช้กับการกีฬา หรือที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์การกีฬา ชือภาษาอังกฤษ Sport science อย่างแพร่หลาย วิทยาศาสตร์การกีฬา จะเข้าไปดูแลเกี่ยวกับตัวผู่เล่นโดยเฉพาะ ทั้งเรื่องของสภาพร่างกาย โภชนาการ การวิเคราะห์ผู้เล่น การโค้ช
เทรนนิ่ง ทำให้เหล่าผู้เล่น มีสภาพร่างกายที่ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ปัจจะบันบุคลากรในด้านนี้ ถือว่า ยังขาดแคลนอยู่มากในบ้านเรา เพราะหลายคนยังไม่เห็นความสำคัญ และ ยังไม่มั่นใจในการทำอาชีพ ด้านกีฬา แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ผมคิดว่า อาชีพ เทรนนิ่ง ,อาชีพนักวิเคราะห์ด้านกีฬา หรือ นักเก็บสถิติด้านกีฬา จะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้้น ตามกระแสความนิยม เรื่องกีฬา ของเรา
ถ้าหากน้องๆ คนไหนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเรียนต่ออะไรดี ผมคิดว่า ศาตร์แขนงนี้ น่าสนใจ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีทิศทางและแนวโน้มที่การกีฬาบ้านเราจะเติบโต และ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเทรนของการดูแลสุขภาพ ของคนในปัจจุบัน บุคลากรด้านนี้จึงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แน่นอน
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560
ฟุตบอลไทย..ก้าวไกลสู่ระดับโลก
เป็นข่าว ฮือ ฮา ตามหน้าสื่อต่างๆ ไม่น้อยนะครับ ในห้วง 2-3 วันที่ผ่านมา สำหรับ กิเลนพยอง เมืองทอง ยูไนเต็ด สโมสร ฟุตบอล ระดับแนวหน้าของไทยพรีเมียร์ลีก ที่สามารถ เอาชนะทีม
คาซิม่า แอนท์เลอร์ส ทีมดังจากแดนปลาดิบได้ในการแข่งขัน ฟุตบอลรายการ AFC แชมป์เป๊้ยน ลีก รายการฟุตบอลถ้วยใหญ่ที่สุดของเอเชีย เปรียบได้กับ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก นั้นแหละครับ เรียกว่าเป็นการประกาศศักดา ให้โลก รู้ว่า ทีมจากไทย ก็ไม่ได้น้อยหน้าทีมใด ในเอเชีย เหมือนกัน ผลงาน 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่มของ เมืองทอง ทำได้ดีมาก โดยมี 4 แต้ม คือ เสมอ 1 และ ชนะ 1 ทำให้ เมืองทอง นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มในขณะนี้
ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก พึ่งเริ่มต้นการแข็งขัน ได้เพียง 3 นัด โดยเริ่มเปิดฤดูกาล 2017 ในวันที่ 11 ก.พ.60 ทีมที่นำเป็นจ่าฝูงอยู่ตอนนี้ คือ ทีม อุบล ยูเอ็มที ,เมืองทอง ,เชียงราย และ บุรีรัมภ์ ตามลำดับ ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ทีมต่างๆได้เสริมทัพ กันแบบคึกคัก โดย เฉพาะเชียงราย ยูไนเต็ด ที่สร้างดีล ช็อควงการ ด้วยการไปคว้าเอาตัว ธนบูรณ์ เกศารัตน์ กองหลัง ดีกรีทีมชาติไทย จาก เมืองทอง ยูไนเต็ด มาด้วยค่าตัวประมาณ 50 ล้านบาท (ไม่เปิดเผยข้อมูลที่แน่ชัด) ถือว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าต้วสูงที่สุด สำหรับวงการฟุตบอลไทย ทีมเชียงรายปีนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการร่วมทุนกับ บริษัทสิงห์ คอร์ปเรชั่น ได้ทำการปรับปรุงทีม ใหม่หมด เรียกว่า ปฏิวัติกันเลยที่เดียว (คุ้นๆนะคำนี้ 555) ไม่ว่าจะเป็น สนามแข่งขัน ตัวผู้เล่น และ ระบบบริหารจัดการ ทั้งหมดในทีม เป้าหมายคือ สร้างทีมให้มีมาตราฐานทัดเทียม ทีมชั้นนำในเอเชีย เพื่อยกระดับทีมของไทย ให้ต่อสู้กับทีมอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ได้
ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่า เป็นปีทอง ของวงการฟุตบอลไทย ทั้งในระดับชาติ และ ระดับสโมสร ผลงานในระดับชาติทำได้ดีมากๆ จึงเรียกศรัทธาของแฟนบอลกลับมาได้ อันนี้ต้องยกเครดิต ให้ โค้ช ซิโก้ เกรียติศักด์ เสนาเมือง ที่สามารถปุกปั้น และ เปลี่ยนแปลงทีม ให้พัฒนาขึ้นมาได้มาก การที่ผลงานในระดับชาติ ดีนั้นผมคิดว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ฟุตบอลลีกภายในประเทศของเรามีความเข็มแข็ง มากขึ้น ช่วยยกระดับศักยภาพของนักเตะให้มีมาตราฐาน ก่อนที่จะมีฟุตบอลลีก เป็นเรื่องเป็นราวนั้น เมื่อก่อนทีมชาติไทย ใช้ระบบการคัดตัว คือ เปิดรับสมัครนักเตะเข้ามาคัดตัวแข่งขันกัน เพื่อติดทีมชาติ โดยมีเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งระบบนี้เอื้อต่อการทุจริต ใช้ระบบพวกพ้อง จะเห็นได้ว่า จะมีแต่ผู้เล่นที่เล่นอยู่ในส่วนกลางซะเป็นส่วนใหญ่ เหล่านักเตะ โนเนมจากภููมิภาคมักจะไม่ได้รับโอกาส ในการติดทีมชาติสักเท่าไหร่ โค้ชเองก็ไม่ค่อยมีอิสระในการทำงานมากนัก เพราะมีผู้ใหญ่ในสมาคมเป็นตัวกำหนด แต่เมื่อมีการก่อตั้งฟุตบอลลีกขึ้น ในปี 2539 โดยเริ่มต้นมีทีมที่เข้าร่วม จำนวน 10 ทีม แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนปัจจุบันมีทั้งหมด 18 ทีม ระบบการคัดเลือกนักเตะจึงเปิดกว้างมากขึ้น เพราะใช้ฟอร์มการเล่นเป็นตัวตัดสิน โค้ชเองก็ค่อนข้างมีอิสระในการทำทีม สามารถเลือกตัวนักเตะที่เหมาะกับสไตล์ของตัวเองได้ เมื่อมีนักเตะที่ดีและมีระบบบริหารจัดการที่ดี ก็ส่งผลทำให้ทีมชาติมีผลงานดีไปด้วย
มาพูดถึง ระดับ สโมสร กันบ้าง ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ถือว่า เป็นลีกหนึ่งที่พัฒนาได้เร็วมากในความคิดผม (เพราะไม่เคยดูลีกของเพื่อนบ้านเลย55) โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลัง แต่ละ สโมสรได้สร้างฐานแฟนบอลใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวน มาก โดยเฉพาะทีมที่มีเงินถุงเงินถัง ในการลงทุน และ มีเจ้าของเป็นมหาเศรษฐี อย่างเช่น เมืองทอง และ บุรีรัมย์ โดยมีการดึงผู้ชมให้เข้ามามีส่วนร่วม และ พัฒนากีฬาฟุตบอล ให้เป็นในเชิงพานิชย์มากขึ้น การดึงผู้เล่นต่างชาติที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมทีม ทำให้มีคนอยากติดตาม ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการดึงผู้เล่นต่างชาติเข้ามา คือ มีส่วนช่วยพัฒนาผู้เล่นในประเทศของเราให้ดียิ่งขึ้น การได้ฝึกซ้อม ได้ร่วมเล่นกับนักเตะ เก่งๆ ทำให้นักเตะไทย ได้เรียนรู้เทคนิค ประสบการณ์ต่าง มากมาย ทีมที่เป็นอันดับ 1 ที่สามารถยกระดับสโมสรของไทย ขึ้นมาให้เป็นทีมมาตราฐานได้ คือ ทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของ ท่าน เนวิน อันนี้ผมขอชื่นชมในวิสัยทัศน์ และ ความทุ่มเทของท่านนะครับ ที่ได้นำกีฬา มามีส่วนช่วยพัฒนาภูมิภาค ให้เป็นที่รู้จัก มากขึ้น
การที่สโมสรฟุตบอลไทย จะก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับสากลได้ แต่ละสโมสร จะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรอง จาก สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) ที่มีกฏเกณฑ์ พิจารณามาตราฐาน สโมสรฟุตบอลอาชีพ เรียกว่า คลับ ไลเซนซิ่่ง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการที่ทีม จะสามารถเข้าไปร่วมเล่นในระดับนานาชาติได้ ในปัจจุบันในประเทศไทย มีอยู่เพียง 4 สโมสร ที่ผ่านการตรวจสอบนี้ คือ บุรีรัมย์ ,เมืองทอง,ชลบุรี และ บางกอก กลาส เท่านั้น การที่ทีมจะสามารถผ่านการตรวจสอบและรับรองจาก AFC ได้นั้นต้องผ่านหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ 5 ข้อ ดังนี้
1. ด้านกีฬา
เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้เล่นของทีมว่ามีสัญญานักกีฬาอาชีพชัดเจน มีโครงการพัฒนาผู้เล่นเยาวชน และดูแลผู้เล่นในสังกัดได้ตามมาตรฐาน
2. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่สโมสรฟุตบอลอาชีพจำเป้นต้องมีไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสนามที่ได้มาตรฐาน เรื่องใบอณุญาตสิ่งปลูกสร้าง การจัดสรรพื้นที่ที่ใช้ในวันแข่งขัน รวมถึงเรื่องความปลอดภัย
3. ด้านการดูแลบุคลากร
จำเป็นต้องมีที่ทำการและฝ่ายธุรการของสโมสร มีผังองค์กรที่ชัดเจน ทั้งในส่วนธุรกิจ และส่วนของกีฬา และบุคลากรในแต่ละตำแหน่ง เอเอฟซี ยังได้มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเอาไว้อย่างชัดเจนด้วย อาทิ แพทย์ประจำทีม ผู้ฝึกสอน หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
4. ด้านกฏหมาย
เป็นข้อกำหนดที่ช่วยในเรื่องของความยุติธรรม สโมสรจำเป็นต้องลงนามในข้อกฏหมายในการเข้าร่วมการแข่งขันของทางเอเอฟซี และห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับสโมสรอื่นที่อยู่ในระบบการแข่งขันเดียวกัน รวมถึงป้องกันการทุจริคอื่นๆ
5. ด้านการเงิน
เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการการดูแลแผนการเงินของสโมสร ทั้งเรื่องงบประมาณ รายรับ รายจ่าย หนี้สิน ต่างๆ รวมถึงความมั่นคงทางการเงิน เพื่อความชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้
ดูจากหลักเกณฑ์แล้ว ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก เหมือนกัน สำหรับทีมที่มีขนาดเล็ก และมีเงินทุนไม่มากนัก ในการที่จะผ่านการรับรองมาตราฐาน ของ AFC อันนี้ก็ต้องขอเอาใจช่วย ให้ทีมเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนากันไปก็แล้วกันนะครับ..... อย่าพึ่งหยุดพัฒนา เพื่อประเทศชาติของเรา วงการฟุตบอลของเราจะได้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีระบบลีกที่แข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถพัฒนาในเรื่องอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย ทั้งในเรื่องของ เศรษฐกิจ สังคม อาชีพ ปัญหาเรื่อง ยาเสพติด ก็จะลดน้อยลงไปด้วย การนำกีฬาให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรืองที่ดีและควรทำเป็นอย่างยิ่ง......
ความผันอันสูงสุดของผม ในฐานะเป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล คนหนึ่ง คือการได้เห็น
"ฟุตบอลไทย....ได้ไปฟุตบอลโลก" เหมือนกับทุกคนในประเทศนี้
ผมจึงอยากให้ทุกคนได้มีส่วนช่วยกันพัฒนาวงการฟุตบอลในบ้านเรา การมีน้ำใจนักกีฬา "รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย" เป็นเรื่องที่เราทุกคนจะต้องมีในจิตสำนึกของตัวเอง ดูกีฬาให้เป็นกีฬา อย่าดูกีฬาเพื่อหวังอะไรบางอย่าง แล้วทำให้กีฬาเป็นเครื่องมือ ในการทำลายความสามัคคีของเรา ประเทศไทย บอบช้ำมามากพอแล้วนะครับ เราหยุดนิ่ง อยู่กับที่มานาน จนคนที่ตามหลังเรามาแซงหน้าเราไปแล้ว เพราะเราทุกคน มั่วแต่เห็นประโยชน์ ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ถึงเวลาแล้วครับ ที่เราจะช่วยกันเปลี่ยนแปลงอดีตที่เลวร้าย ให้กลายมาเป็น อนาคตที่สดใส ประเทศไทย 4.0 จะได้ ก้าวไกลไประดับโลก
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
#ขอบคุณข้อมูลจาก www.goal.com
คาซิม่า แอนท์เลอร์ส ทีมดังจากแดนปลาดิบได้ในการแข่งขัน ฟุตบอลรายการ AFC แชมป์เป๊้ยน ลีก รายการฟุตบอลถ้วยใหญ่ที่สุดของเอเชีย เปรียบได้กับ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก นั้นแหละครับ เรียกว่าเป็นการประกาศศักดา ให้โลก รู้ว่า ทีมจากไทย ก็ไม่ได้น้อยหน้าทีมใด ในเอเชีย เหมือนกัน ผลงาน 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่มของ เมืองทอง ทำได้ดีมาก โดยมี 4 แต้ม คือ เสมอ 1 และ ชนะ 1 ทำให้ เมืองทอง นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มในขณะนี้
ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก พึ่งเริ่มต้นการแข็งขัน ได้เพียง 3 นัด โดยเริ่มเปิดฤดูกาล 2017 ในวันที่ 11 ก.พ.60 ทีมที่นำเป็นจ่าฝูงอยู่ตอนนี้ คือ ทีม อุบล ยูเอ็มที ,เมืองทอง ,เชียงราย และ บุรีรัมภ์ ตามลำดับ ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ทีมต่างๆได้เสริมทัพ กันแบบคึกคัก โดย เฉพาะเชียงราย ยูไนเต็ด ที่สร้างดีล ช็อควงการ ด้วยการไปคว้าเอาตัว ธนบูรณ์ เกศารัตน์ กองหลัง ดีกรีทีมชาติไทย จาก เมืองทอง ยูไนเต็ด มาด้วยค่าตัวประมาณ 50 ล้านบาท (ไม่เปิดเผยข้อมูลที่แน่ชัด) ถือว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าต้วสูงที่สุด สำหรับวงการฟุตบอลไทย ทีมเชียงรายปีนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการร่วมทุนกับ บริษัทสิงห์ คอร์ปเรชั่น ได้ทำการปรับปรุงทีม ใหม่หมด เรียกว่า ปฏิวัติกันเลยที่เดียว (คุ้นๆนะคำนี้ 555) ไม่ว่าจะเป็น สนามแข่งขัน ตัวผู้เล่น และ ระบบบริหารจัดการ ทั้งหมดในทีม เป้าหมายคือ สร้างทีมให้มีมาตราฐานทัดเทียม ทีมชั้นนำในเอเชีย เพื่อยกระดับทีมของไทย ให้ต่อสู้กับทีมอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ได้
ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่า เป็นปีทอง ของวงการฟุตบอลไทย ทั้งในระดับชาติ และ ระดับสโมสร ผลงานในระดับชาติทำได้ดีมากๆ จึงเรียกศรัทธาของแฟนบอลกลับมาได้ อันนี้ต้องยกเครดิต ให้ โค้ช ซิโก้ เกรียติศักด์ เสนาเมือง ที่สามารถปุกปั้น และ เปลี่ยนแปลงทีม ให้พัฒนาขึ้นมาได้มาก การที่ผลงานในระดับชาติ ดีนั้นผมคิดว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ฟุตบอลลีกภายในประเทศของเรามีความเข็มแข็ง มากขึ้น ช่วยยกระดับศักยภาพของนักเตะให้มีมาตราฐาน ก่อนที่จะมีฟุตบอลลีก เป็นเรื่องเป็นราวนั้น เมื่อก่อนทีมชาติไทย ใช้ระบบการคัดตัว คือ เปิดรับสมัครนักเตะเข้ามาคัดตัวแข่งขันกัน เพื่อติดทีมชาติ โดยมีเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งระบบนี้เอื้อต่อการทุจริต ใช้ระบบพวกพ้อง จะเห็นได้ว่า จะมีแต่ผู้เล่นที่เล่นอยู่ในส่วนกลางซะเป็นส่วนใหญ่ เหล่านักเตะ โนเนมจากภููมิภาคมักจะไม่ได้รับโอกาส ในการติดทีมชาติสักเท่าไหร่ โค้ชเองก็ไม่ค่อยมีอิสระในการทำงานมากนัก เพราะมีผู้ใหญ่ในสมาคมเป็นตัวกำหนด แต่เมื่อมีการก่อตั้งฟุตบอลลีกขึ้น ในปี 2539 โดยเริ่มต้นมีทีมที่เข้าร่วม จำนวน 10 ทีม แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนปัจจุบันมีทั้งหมด 18 ทีม ระบบการคัดเลือกนักเตะจึงเปิดกว้างมากขึ้น เพราะใช้ฟอร์มการเล่นเป็นตัวตัดสิน โค้ชเองก็ค่อนข้างมีอิสระในการทำทีม สามารถเลือกตัวนักเตะที่เหมาะกับสไตล์ของตัวเองได้ เมื่อมีนักเตะที่ดีและมีระบบบริหารจัดการที่ดี ก็ส่งผลทำให้ทีมชาติมีผลงานดีไปด้วย
มาพูดถึง ระดับ สโมสร กันบ้าง ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ถือว่า เป็นลีกหนึ่งที่พัฒนาได้เร็วมากในความคิดผม (เพราะไม่เคยดูลีกของเพื่อนบ้านเลย55) โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลัง แต่ละ สโมสรได้สร้างฐานแฟนบอลใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวน มาก โดยเฉพาะทีมที่มีเงินถุงเงินถัง ในการลงทุน และ มีเจ้าของเป็นมหาเศรษฐี อย่างเช่น เมืองทอง และ บุรีรัมย์ โดยมีการดึงผู้ชมให้เข้ามามีส่วนร่วม และ พัฒนากีฬาฟุตบอล ให้เป็นในเชิงพานิชย์มากขึ้น การดึงผู้เล่นต่างชาติที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมทีม ทำให้มีคนอยากติดตาม ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการดึงผู้เล่นต่างชาติเข้ามา คือ มีส่วนช่วยพัฒนาผู้เล่นในประเทศของเราให้ดียิ่งขึ้น การได้ฝึกซ้อม ได้ร่วมเล่นกับนักเตะ เก่งๆ ทำให้นักเตะไทย ได้เรียนรู้เทคนิค ประสบการณ์ต่าง มากมาย ทีมที่เป็นอันดับ 1 ที่สามารถยกระดับสโมสรของไทย ขึ้นมาให้เป็นทีมมาตราฐานได้ คือ ทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของ ท่าน เนวิน อันนี้ผมขอชื่นชมในวิสัยทัศน์ และ ความทุ่มเทของท่านนะครับ ที่ได้นำกีฬา มามีส่วนช่วยพัฒนาภูมิภาค ให้เป็นที่รู้จัก มากขึ้น
การที่สโมสรฟุตบอลไทย จะก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับสากลได้ แต่ละสโมสร จะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรอง จาก สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) ที่มีกฏเกณฑ์ พิจารณามาตราฐาน สโมสรฟุตบอลอาชีพ เรียกว่า คลับ ไลเซนซิ่่ง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการที่ทีม จะสามารถเข้าไปร่วมเล่นในระดับนานาชาติได้ ในปัจจุบันในประเทศไทย มีอยู่เพียง 4 สโมสร ที่ผ่านการตรวจสอบนี้ คือ บุรีรัมย์ ,เมืองทอง,ชลบุรี และ บางกอก กลาส เท่านั้น การที่ทีมจะสามารถผ่านการตรวจสอบและรับรองจาก AFC ได้นั้นต้องผ่านหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ 5 ข้อ ดังนี้
1. ด้านกีฬา
เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้เล่นของทีมว่ามีสัญญานักกีฬาอาชีพชัดเจน มีโครงการพัฒนาผู้เล่นเยาวชน และดูแลผู้เล่นในสังกัดได้ตามมาตรฐาน
2. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่สโมสรฟุตบอลอาชีพจำเป้นต้องมีไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสนามที่ได้มาตรฐาน เรื่องใบอณุญาตสิ่งปลูกสร้าง การจัดสรรพื้นที่ที่ใช้ในวันแข่งขัน รวมถึงเรื่องความปลอดภัย
3. ด้านการดูแลบุคลากร
จำเป็นต้องมีที่ทำการและฝ่ายธุรการของสโมสร มีผังองค์กรที่ชัดเจน ทั้งในส่วนธุรกิจ และส่วนของกีฬา และบุคลากรในแต่ละตำแหน่ง เอเอฟซี ยังได้มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเอาไว้อย่างชัดเจนด้วย อาทิ แพทย์ประจำทีม ผู้ฝึกสอน หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
4. ด้านกฏหมาย
เป็นข้อกำหนดที่ช่วยในเรื่องของความยุติธรรม สโมสรจำเป็นต้องลงนามในข้อกฏหมายในการเข้าร่วมการแข่งขันของทางเอเอฟซี และห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับสโมสรอื่นที่อยู่ในระบบการแข่งขันเดียวกัน รวมถึงป้องกันการทุจริคอื่นๆ
5. ด้านการเงิน
เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการการดูแลแผนการเงินของสโมสร ทั้งเรื่องงบประมาณ รายรับ รายจ่าย หนี้สิน ต่างๆ รวมถึงความมั่นคงทางการเงิน เพื่อความชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้
ดูจากหลักเกณฑ์แล้ว ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก เหมือนกัน สำหรับทีมที่มีขนาดเล็ก และมีเงินทุนไม่มากนัก ในการที่จะผ่านการรับรองมาตราฐาน ของ AFC อันนี้ก็ต้องขอเอาใจช่วย ให้ทีมเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนากันไปก็แล้วกันนะครับ..... อย่าพึ่งหยุดพัฒนา เพื่อประเทศชาติของเรา วงการฟุตบอลของเราจะได้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีระบบลีกที่แข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถพัฒนาในเรื่องอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย ทั้งในเรื่องของ เศรษฐกิจ สังคม อาชีพ ปัญหาเรื่อง ยาเสพติด ก็จะลดน้อยลงไปด้วย การนำกีฬาให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรืองที่ดีและควรทำเป็นอย่างยิ่ง......
ความผันอันสูงสุดของผม ในฐานะเป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล คนหนึ่ง คือการได้เห็น
"ฟุตบอลไทย....ได้ไปฟุตบอลโลก" เหมือนกับทุกคนในประเทศนี้
ผมจึงอยากให้ทุกคนได้มีส่วนช่วยกันพัฒนาวงการฟุตบอลในบ้านเรา การมีน้ำใจนักกีฬา "รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย" เป็นเรื่องที่เราทุกคนจะต้องมีในจิตสำนึกของตัวเอง ดูกีฬาให้เป็นกีฬา อย่าดูกีฬาเพื่อหวังอะไรบางอย่าง แล้วทำให้กีฬาเป็นเครื่องมือ ในการทำลายความสามัคคีของเรา ประเทศไทย บอบช้ำมามากพอแล้วนะครับ เราหยุดนิ่ง อยู่กับที่มานาน จนคนที่ตามหลังเรามาแซงหน้าเราไปแล้ว เพราะเราทุกคน มั่วแต่เห็นประโยชน์ ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ถึงเวลาแล้วครับ ที่เราจะช่วยกันเปลี่ยนแปลงอดีตที่เลวร้าย ให้กลายมาเป็น อนาคตที่สดใส ประเทศไทย 4.0 จะได้ ก้าวไกลไประดับโลก
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
#ขอบคุณข้อมูลจาก www.goal.com
วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560
ลิเวอร์พูล..ในความฝัน
จากบทความที่แล้ว...ผมได้เกริ่นถึงปัญหาของลิเวอร์พูลไปนิดหน่อย...ว่าทำไม ลิเวอร์ถึงไม่อยุ่ในกลุ่มท้าชิง อันดับที่ 2 ของ พรีเมียร์ลีก อันที่จริงผมเคยเขียนถึง ทีมลิเวอร์ไว้บ้างแล้วในบทความ เรื่อง ความเป็นหงส์ ใครไม่ได้อ่านก็ไปติดตามอ่านได้ ที่นี่ ความเป็นหงส์
อย่างที่เรารู้กันนะครับ ว่าตั้งแต่ ขั้นปีใหม่มา ทีม ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ไม่ดีเอาเสียเลย ชนะแค่นัดเดียว ในบรรดา เกมทั้งหมด 6 นัด คือการเอาชนะ สเปอร์ ด้วยผล 2-0 การเล่นกับทีมใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาของลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็น ผจก.ทีม หงส์แดงมักจะทำได้ดี ในการเล่นกับทีมใหญ่ แต่ของแสลงของ ลิเวอร์พูล คือ บรรดาทีม เล็กๆ กลางตารางถึงท้ายตาราง เป็นทีมที่พวกทีม ใหญ่ๆ เขาไม่ค่อยแพ้กัน แต่ลิเวอร์พูล กลับแพ้ ได้อย่างง่ายดาย ทุกครั้งที่ทีมเล็ก เล่นกับลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะมีความหึกเหิมเป็นพิเศษ....เท่าที่ผมติดตามมา บางนัด ลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นแย่ อะไร ทำเกม ครองเกม ได้ตลอด แต่ทีมพวกนี้ เหมือนโดนผีเข้า ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ไล่กดไล่บี้ตลอด และ เหมือนกับมีมหาอุด ยิงยังไงก็ยิงไม่เข้า โดยเฉพาะตำแหน่ง ผู้รักษาตู้ จะมีความเก่ง เป็นพิเศษ ถ้าเล่นกับ หงส์แดง พอไม่สามารถ ทำประตูได้ ผลที่ตามมาคือการโดนคู่แข่ง โต้กลับ แล้วเสียประตู ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ผมลองตั้งคำถาม...ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูล ทั้งที่ตอนต้น ฤดูกาล ทำผลงานได้ดี ตบเด็ก ได้ตลอด แต่พอเปลี่ยน พ.ศ. มาปุ๊ป ทีมกลับลงเหว มาดูบทวิเคราะห็ กันแบบที่ละข้อครับ
1.ตัวผู้เล่น
*การขายหาย ของ ซาดิโอ มาเน่ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาล ซึ่งทีมกำลังมีสมดุลในเกม แล้วต้องมาเสีย ซาดิโอ ในการไปเล่นให้กับทีมชาติ ทำให้ ผจก.ต้องปรับเปลี่ยนแผนใหม่เผื่อให้เข้ากับนักเตะ ที่มีอยู่ โดย การโยก เอา อดัม ลาลานา ไปเล่นแทน ซึ่งเขากำลังเล่นได้ดีในตำแหน่ง กองกลาง ซึ่งเขาเล่นร่วม กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้เป็นอย่างดี เรียกว่า มองตารู้ใจ แต่พอเปลี่ยนตำแหน่งกันใหม่ ก็เหมือนกับ ต้องมาเริ่มต้นปรับกันใหม่ ทำให้ขาดความลื่นไหลในเกม
*คูตี้ เจ็บ เช่นเดียวกับ ซาดิโอ การได้รับบาดเจ็บแบบสิ้นคิด ของ คูตี้ ส่งผลกระทบกับทีมอย่างมาก เพราะ คูตี้ กำลังอยู่ในช่วงที่ ท็อปฟอร์มสุดๆ การยิงประตู และ การจ่ายบอล ที่เฉียบคม (Killer pass) ทำให้ทีมได้เปรียบ และสามารถทำประตูได้ แต่หลังจากที่ เขาหายจากการบาดเจ็บกลับมา ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมกลับมาได้เลย
*ไวนัลดุม และ ชาน ยังไม่ใช้ สิ่งที่ลิเวอร์พูล มองหา กองกลาง ทั้งสองคนนี้ ยังต้องพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะในรายของ เจ้ากระป๋อง เอ็มเร ชาน ซึ่งตอนย้ายมาใหม่ๆ ดูเหมือนจะมีอนาคตไกล แต่เล่นไปเรื่อยๆ ยังทำได้ไม่ดี การเล่นของเขา ดูจะขัดกับสไตล์ของ ลิเวอร์พูล เขาชอบดึงจังหวะช้า ในตอนที่ทีมกำลังเร่งสปีดเกม เพื่อกดดันคู่ต่อสู่ การฝืนเล่น จนทำให้เสียบอล บ่อยครั้ง การเข้าบอล ดูโฉ่งฉาง ไม่แน่น เขายังคงต้องพัฒนาตัวเองอีกมาก หากอยากจะแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม ลิเวอร์พูล
-ไวนัลดุม ในทัศนะของผม คิดว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพคนหนึ่ง แต่ยังไปไม่ถึงจุดพีคของตัวเองเท่านั้น การครองบอล ความขยัน การสอดขึ้นไปทำประตู ดูจะเป็นจุดเด่นของเขา แต่สิ่งที่เขาต้องปรับปรุง คือการจ่ายบอล จังหวะการเล่น และ การทำประตูต้องที่เฉียบคม เขาเองยังต้องปรับตัวกับทีมใหม่อยู่ เพราะแรกๆ ไม่ค่อยได้โอกาสลงเล่น ซักเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาได้โอกาสแล้วต้องพยายามทำให้ดีกว่านี้
*มาติป และ ลูคัส สองสามเกมที่ผ่านมา 2 คนได้ยืนคู่กัน เพราะ ลอร์ฟเรน ดันมาเจ็บเอาช่วงเวลาที่สำคับ ขยันเจ็บกันจริงๆ ช่วงนี้5555 อย่างที่ทราบกันว่า ลูคัส เขาเป็นกองกลางไม่ใช้กองหลัง แต่โดนจับมาเล่นกองหลัง ทำให้เขาไม่ถนัด และมีความกดดันในการเล่นพอสมควร เพราะกองกลางกับกองหลังนั้นต่างกันตรงที่ กองกลางทำพลาดยังมีโอกาส แก้ตัวได้ แต่ถ้าเป็นกองหลังหากทำพลาดคือ โอกาสเสียประตู ด้วยตัวเขาเองไม่ใช่คนที่มีความเร็ว แล้วต้องมาจับคู่กับ มาติป ซึ่งก็ช้าเหมือนกัน พอ ช้า + ช้า ก็บรรลัยละครับงานนี้ *มาติป ดูจะโดนเด่นไม่น้อยในช่วงแรก แต่ด้วยอาการบาดเจ็บ อีกแล้วมารบกวนทำให้ฟอร์ม ที่เคยเด่นๆ ตกฮวบ หลุดง่าย สกัดไม่ค่อยดี ฟอร์มหลังเริ่มเป๋ เหมือนกัน
*มิโญเล่ , คาริอุส ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ของ ลิเวอร์พูล มาตลอด เช่นเดียวกับ ตำแหน่งกองหลัง หากจะว่าไปแล้ว มินนี่ ก็มีส่วนช่วยให้ทีม ชนะในหลายๆเกม ด้วยการเซฟลูกยาก ให้ทีม ซึ่งเป็นจุดเด่นของเขา แต่สิ่งที่เขาขาดคือ การอ่านเกม ,การออกมาตัดบอล และ การเล่นลูกกลางอากาศ ถ้าคู่แข่งได้โยนบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษของลิเวอร์พูลได้เมื่อไหร่ จะต้องมีเสียวกันทุกรอบ ส่วนหนึ่งมาจาก มินนี่ ที่ไม่กล้าออกมาเล่นในจังหวะสำคัญๆ ปัญหาความสม่ำเสมอในเล่น เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับตำแหน่ง ผู้รักษาประตู เพราะมันคือ ปราการด้านสุดท้าย ของทีม ถ้าผู้รักษาประตูมีความแน่นอน มีความนิ่งในการเล่น ทั้งทีม ก็สบายใจ และ รู้สึกปลอดภัย แต่ถ้า ผู้รักษาประตู ออกทะเล ออกลูกเหว๋อ เมื่อไหร่ นั้นละคือหายนะ
2.แผนการเล่น เป็นเรื่องที่สอง ที่ผมจะยกมาพูดถึง แผนของคล๊อป คือการเพรสซิ่งสูง แน่นอนการเล่นแบบเพรสซิ่ง ต้องใช้แรงอย่างมาก เพราะผู้เล่นต้องวิ่งตลอด ถ้าใครไม่ฟิตจริง มีหวังเดี้ยงกันไปตามกัน การไล่เพรสซิ่งสูง ทำให้คู่แข่งกดดันก็จริง แต่ก็เปิดพื้นที่ด้านหลังไว้มาก ถ้าเจอกับทีมที่มาตั้งรับต่ำแล้วโต้กลับเร็ว ลิเวอร์พูล จะเจอปัญหาทุกครั้ง ทุกทีมที่ชนะ ลิเวอร์พูลได้ จะเล่นแบบนี้ทั้งนั้น สังเกตุดูได้เลย พวกเขา จะทิ้ง กองหน้าที่มีความเร็ว ไว้หนึ่งตัว พอได้บอลจาก ลิเวอร์พูล ก็จะจ่ายไปที่ว่างให้กองหน้าวิ่งไปรับบอล แล้วเอาไปยิงประตู สูตรนี้ใช้ได้ผลมากกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งคล็อป เอง ก็ยังแก้ไม่ได้ในจุดนี้
3.สภาพจิตใจ ผมเชื่อว่า สภาพจิตใจ มีส่วนสำคัญอย่างมากในเกมฟุตบอล มันเป็นปัจจัยที่สามารถตัดสินได้ว่า จะให้ทีม ชนะหรือไม่ชนะ เรื่องสภาพทีม และ ตัวผู้เล่น อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่หลายท่านเคยสงสัยมั้ย ว่าทำไม่ บางทีทีมเล็กๆ และอ่อนชั้นกว่า จึงสามารถ พลิกสถานณ์เอาชนะที่ที่ใหญ่กว่าได้ ทำไม เชลซี ,แมน ยู จึงสามารถ เอาชนะทีมเล็กๆ ได้เป็นประจำ ทั้งที่บางทีทีมก็ไม่พร้อม ผมจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ นะครับ นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก แล้วมีรุ่นพี่ที่เป็นนักเลง ในโรงเรียน มาหาเรื่อง นั้นแหละครับ เราที่เป็นเด็กใหม่ตัวเล็ก กลัวซิหาย...(แต่สมัยนี้ยังไงไม่รู้นะ555) ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ากลัวเขาว่าหาเรื่องเขา ก็เหมือนกันครับ ทีมอย่าง แมน ยู ,เชลซี ก็เหมือนนักเลงใหญ่ในโรงเรียนน้ันแหละ แค่ได้ยินชื่อ ก็กลัวขี้หดตดหายแล้ว เพราะทีมเหล่านี้ เขาได้สร้างบารมี เอาไว้เยอะ ทำให้ทีมที่ต่อกลอนด้วย แค่เห็นก็ใจฝ่อแล้ว พอใจฝ่อ ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว แผนการที่ ผจก.วางมาต่อให้ดีแค่ไหน ถ้าผู้เล่นเอาไปใช้ไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ ลิเวอร์พูล ยังมีบารมีไม่มากพอ ถึงจะเคยสร้างเกียรติประวัติไว้มากมาย แต่นั้นมันในอดีตแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ลิเวอร์พูลต้องยอมรับว่ายังเป็นทีมที่อยู่ในระดับกลางๆ ยังไม่ใช้ทีมชั้นนำ ถ้าดูจากสภาพทีม ตัวผู้เล่น งบประมาณ ยังห่างชั้นกันคู่แข่งอย่างมาก ทีมเล็กๆ ที่ต้องเล่นกับ ลิเวอร์พูล จึงไม่กลัว และ กล้าที่จะเล่นในเกมของตัวเอง
4.การเสริมทีม สไตล์ การทำทีม ของ เจอร์เก็น คล็อป นั้นเน้นไปที่การสร้างทีมในระยะยาว ตัวเขาเองนั้นชื่นชอบที่จะปั้นเด็กมาใช้งาน มากกว่าการซื้อ ซุปตาร์ เข้ามา เราจึงไม่ค่อยเห็นเหล่าซุปตาร์มาอวดโฉมใน แอนฟิวส์ เท่าไหร่ ทั้งที่ ตัวเขาเองมีชื่อเสียงพอที่จะดึงดูดนักเตะเหล่านั้นได้ไม่ยาก อาจเป็นเพราะตัวเขา เองที่มั่นใจในตัวนักเตะที่มีอยู่ จึงไม่ซื้อใครเขามาเพิ่ม ทำให้เมื่อมีนักเตะบาดเจ็บเยอะๆ จึงขาดนักเตะที่จะสามารถทดแทนกันได้
5.การฝึกซ้อม อันหนักหน่วง การฝึกซ้อม ของ ผจก.ทีมชาวเยอรมัน เป็นที่รู้กันว่า มีคามเข้มข้น เพราะด้วยสไตล์การทำทีม ที่แน่นเพรสซิ่ง นักเตะจำเป็นต้องมีความฟิตอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นักเตะที่มียังไม่สามารถพร้อมรับมือ กับสไตล์แบบนี้ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ กับนักเตะหลายคนอยุ่บ่อยครั้ง ท่าน เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน เคยวิจารณ์สไตล์ ของ คล็อป ว่านักเตะจะสามารถวิ่งไล่บอลได้ไปจนถึงท้ายฤดูกาลรึเปล่า คล็อป อาจจะเคยทำสำเร็จ ที่ เยอรมัน แต่ เยอรมัน ไม่เหมือนกับอังกฤษ เพราะ ที่เยอรมัน มีการพักเบรกหนีหนาว แต่ สำหรับ อังกฤษ นั้นไม่มีการพัก มีแต่โปรแกรมการเตะ ที่ชุกเหมือน กับ ฝน การบริหารทรัพย์กรนักเตะของทีมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
6.ผู้จัดการทีม ถ้าเอ่ย ถึง ชื่อ ของ เจอร์เก็น คล็อป (JK) คงไม่มีใครไม่รู้จัก และสงสัยในความสามารถของเขา เพราะ การฉุด ทีม ดอร์ทมุน ขึ้นจากปากเหว ให้มาอยู่บนจุดสูงสุด ของฟุตบอลเยอรมัน ได้นั้นไม่ใช้เรื่องง่ายเลย เขาต้องผ่าน ทีม พญามัจจุราช อย่าง บาร์เยิร์น ค่อยขว้างกันความสำเร็จอยู่ แต่นั้นคือความสำเร็จในอดีต ซึ่งไม่สามารถ การันตี ความสำเร็จในปัจจุบันได้ อย่างที่ทราบกันไปในหัวข้อที่ผ่านมาว่า สไตล์การทำทีมของ คล็อป นั้น เน้นในเรื่องของการสร้างทีมในระยะยาว การปั้นเหล่าดาวรุ่ง ให้เป็นกำลังหลักของทีมต่อไป เขาเป็น ผจก.ทีม ที่มีส่วนร่วมกับทีม ในทุกบทบาท อารมณ์ และ ความรู้สึก เต็มเปี่ยมด้วยพลัง แต่ก็ใช้ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย ข้อเสีย ของ คล็อป ในความคิดผม คือ เขาเป็นคนที่มี EGO มากพอสมควร จนบ้างครั้งอาจลืมนึกถึงภาพรวมของทีม ดูได้จาก กรณี ของ มามาดู ซาโก้ ที่ถูกเขาจับดองเค็ม เนื่องจาก พฤติกรรม ที่ขี้เล่นเกินกว่าเหตุ ของเจ้าหมอนี่ และการที่เขายึดหลักไม่ยอมเสริมนักเตะในช่วงตลาดเปิดเดือนมกราคม การดึงดัน ใช้ มิลเนอร์ และ ลูคัส มาเล่นในตำแหน่งกองหลัง ซึ่งดูยังไงแล้วก็ไม่ Work เพราะมันฝืนธรรมชาติของนักเตะ มิลเนอร์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบในตำแหน่งแบ็คซ้ายเลย ตำแหน่งที่เขาอย่างจะเล่นที่สุดคือ ตำแหน่งในแดนกลาง แต่หากเป็นความต้องการของ ผจก.ทีม เขาก็สามารถที่จะเล่นได้ในทุกตำแหน่งเพื่อทีม การฝืนใช้นักเตะผิดตำแหน่ง มันเป็นการลดศักยภาพของนักเตะ ทางอ้อม เพราะเขาไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ ถูกจำกัดด้วยแผนการเล่น การเล่นจึงไม่เป็นธรรมชาติ แรกๆ มิลเนอร์ ก็ดูเหมือนจะทำได้ดีในตำแหน่งใหม่ แต่พอเล่นไปได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มจะแสดงความผิดพลาดให้เห็น การเติมเกมสูง แล้วลงไม่ทัน เป็นปัญหาสำหรับมิลเนอร์ หาก คล็อป ต้องการที่จะเห็นทีมที่เขาปลุกปั้นพัฒนามากขึ้นกว่านี้ บางที่เขาอาจคงต้องยอมลด EGO ของเขาลงบ้าง แล้วเริ่มแก้ไข ให้ถูกจุด เสียที "อย่าปล่อยให้ความหวัง ของเหล่า The Kops เป็นเพียงแค่ความฝัน ลมๆ แล้ง" เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมา เป็นความคิดเห็นของผม นะครับ ส่วนใครที่จะเห็นต่างไปกว่านี้ก็ไม่ว่ากัน........หากลิเวอร์พูล ต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ต้องมีการเปลียนแปลงอะไรบางอย่าง ผมมองว่า คุณภาพของนักเตะ เป็นเรืองสำคับอันดับแรก ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลหน้า เพราะศักยภาพ นักเตะที่มีอยู่ไม่สามารถ แข่งขันกับเหล่าบรรดา ทีม เสือ สิงห์ กระทิง แรด ใน พรีเมียร์ลีก ได้เลย เทียบ ปอนด์ต่อปอนด์ แพ้ตั้งแต่ในมุง ในปัจจุบัน นี้แทบไม่มีนักเตะ คนใด ที่เข้าใกล้ คำว่า World class เลย ตั้งแต่ หลุยส์ ซัวเรส เก็บกระเป๋าย้ายออกไป ยังไงก็ฝากแฟนๆ หงส์ ติดตามกันต่อไป อย่าพึ่งท้อแล้วทิ้งกันไปไหนนะครับ
#You will Never walk alone
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
อย่างที่เรารู้กันนะครับ ว่าตั้งแต่ ขั้นปีใหม่มา ทีม ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ไม่ดีเอาเสียเลย ชนะแค่นัดเดียว ในบรรดา เกมทั้งหมด 6 นัด คือการเอาชนะ สเปอร์ ด้วยผล 2-0 การเล่นกับทีมใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาของลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็น ผจก.ทีม หงส์แดงมักจะทำได้ดี ในการเล่นกับทีมใหญ่ แต่ของแสลงของ ลิเวอร์พูล คือ บรรดาทีม เล็กๆ กลางตารางถึงท้ายตาราง เป็นทีมที่พวกทีม ใหญ่ๆ เขาไม่ค่อยแพ้กัน แต่ลิเวอร์พูล กลับแพ้ ได้อย่างง่ายดาย ทุกครั้งที่ทีมเล็ก เล่นกับลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะมีความหึกเหิมเป็นพิเศษ....เท่าที่ผมติดตามมา บางนัด ลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นแย่ อะไร ทำเกม ครองเกม ได้ตลอด แต่ทีมพวกนี้ เหมือนโดนผีเข้า ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ไล่กดไล่บี้ตลอด และ เหมือนกับมีมหาอุด ยิงยังไงก็ยิงไม่เข้า โดยเฉพาะตำแหน่ง ผู้รักษาตู้ จะมีความเก่ง เป็นพิเศษ ถ้าเล่นกับ หงส์แดง พอไม่สามารถ ทำประตูได้ ผลที่ตามมาคือการโดนคู่แข่ง โต้กลับ แล้วเสียประตู ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ผมลองตั้งคำถาม...ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูล ทั้งที่ตอนต้น ฤดูกาล ทำผลงานได้ดี ตบเด็ก ได้ตลอด แต่พอเปลี่ยน พ.ศ. มาปุ๊ป ทีมกลับลงเหว มาดูบทวิเคราะห็ กันแบบที่ละข้อครับ
1.ตัวผู้เล่น
*การขายหาย ของ ซาดิโอ มาเน่ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาล ซึ่งทีมกำลังมีสมดุลในเกม แล้วต้องมาเสีย ซาดิโอ ในการไปเล่นให้กับทีมชาติ ทำให้ ผจก.ต้องปรับเปลี่ยนแผนใหม่เผื่อให้เข้ากับนักเตะ ที่มีอยู่ โดย การโยก เอา อดัม ลาลานา ไปเล่นแทน ซึ่งเขากำลังเล่นได้ดีในตำแหน่ง กองกลาง ซึ่งเขาเล่นร่วม กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้เป็นอย่างดี เรียกว่า มองตารู้ใจ แต่พอเปลี่ยนตำแหน่งกันใหม่ ก็เหมือนกับ ต้องมาเริ่มต้นปรับกันใหม่ ทำให้ขาดความลื่นไหลในเกม
*คูตี้ เจ็บ เช่นเดียวกับ ซาดิโอ การได้รับบาดเจ็บแบบสิ้นคิด ของ คูตี้ ส่งผลกระทบกับทีมอย่างมาก เพราะ คูตี้ กำลังอยู่ในช่วงที่ ท็อปฟอร์มสุดๆ การยิงประตู และ การจ่ายบอล ที่เฉียบคม (Killer pass) ทำให้ทีมได้เปรียบ และสามารถทำประตูได้ แต่หลังจากที่ เขาหายจากการบาดเจ็บกลับมา ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมกลับมาได้เลย
*ไวนัลดุม และ ชาน ยังไม่ใช้ สิ่งที่ลิเวอร์พูล มองหา กองกลาง ทั้งสองคนนี้ ยังต้องพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะในรายของ เจ้ากระป๋อง เอ็มเร ชาน ซึ่งตอนย้ายมาใหม่ๆ ดูเหมือนจะมีอนาคตไกล แต่เล่นไปเรื่อยๆ ยังทำได้ไม่ดี การเล่นของเขา ดูจะขัดกับสไตล์ของ ลิเวอร์พูล เขาชอบดึงจังหวะช้า ในตอนที่ทีมกำลังเร่งสปีดเกม เพื่อกดดันคู่ต่อสู่ การฝืนเล่น จนทำให้เสียบอล บ่อยครั้ง การเข้าบอล ดูโฉ่งฉาง ไม่แน่น เขายังคงต้องพัฒนาตัวเองอีกมาก หากอยากจะแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม ลิเวอร์พูล
-ไวนัลดุม ในทัศนะของผม คิดว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพคนหนึ่ง แต่ยังไปไม่ถึงจุดพีคของตัวเองเท่านั้น การครองบอล ความขยัน การสอดขึ้นไปทำประตู ดูจะเป็นจุดเด่นของเขา แต่สิ่งที่เขาต้องปรับปรุง คือการจ่ายบอล จังหวะการเล่น และ การทำประตูต้องที่เฉียบคม เขาเองยังต้องปรับตัวกับทีมใหม่อยู่ เพราะแรกๆ ไม่ค่อยได้โอกาสลงเล่น ซักเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาได้โอกาสแล้วต้องพยายามทำให้ดีกว่านี้
*มาติป และ ลูคัส สองสามเกมที่ผ่านมา 2 คนได้ยืนคู่กัน เพราะ ลอร์ฟเรน ดันมาเจ็บเอาช่วงเวลาที่สำคับ ขยันเจ็บกันจริงๆ ช่วงนี้5555 อย่างที่ทราบกันว่า ลูคัส เขาเป็นกองกลางไม่ใช้กองหลัง แต่โดนจับมาเล่นกองหลัง ทำให้เขาไม่ถนัด และมีความกดดันในการเล่นพอสมควร เพราะกองกลางกับกองหลังนั้นต่างกันตรงที่ กองกลางทำพลาดยังมีโอกาส แก้ตัวได้ แต่ถ้าเป็นกองหลังหากทำพลาดคือ โอกาสเสียประตู ด้วยตัวเขาเองไม่ใช่คนที่มีความเร็ว แล้วต้องมาจับคู่กับ มาติป ซึ่งก็ช้าเหมือนกัน พอ ช้า + ช้า ก็บรรลัยละครับงานนี้ *มาติป ดูจะโดนเด่นไม่น้อยในช่วงแรก แต่ด้วยอาการบาดเจ็บ อีกแล้วมารบกวนทำให้ฟอร์ม ที่เคยเด่นๆ ตกฮวบ หลุดง่าย สกัดไม่ค่อยดี ฟอร์มหลังเริ่มเป๋ เหมือนกัน
*มิโญเล่ , คาริอุส ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ของ ลิเวอร์พูล มาตลอด เช่นเดียวกับ ตำแหน่งกองหลัง หากจะว่าไปแล้ว มินนี่ ก็มีส่วนช่วยให้ทีม ชนะในหลายๆเกม ด้วยการเซฟลูกยาก ให้ทีม ซึ่งเป็นจุดเด่นของเขา แต่สิ่งที่เขาขาดคือ การอ่านเกม ,การออกมาตัดบอล และ การเล่นลูกกลางอากาศ ถ้าคู่แข่งได้โยนบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษของลิเวอร์พูลได้เมื่อไหร่ จะต้องมีเสียวกันทุกรอบ ส่วนหนึ่งมาจาก มินนี่ ที่ไม่กล้าออกมาเล่นในจังหวะสำคัญๆ ปัญหาความสม่ำเสมอในเล่น เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับตำแหน่ง ผู้รักษาประตู เพราะมันคือ ปราการด้านสุดท้าย ของทีม ถ้าผู้รักษาประตูมีความแน่นอน มีความนิ่งในการเล่น ทั้งทีม ก็สบายใจ และ รู้สึกปลอดภัย แต่ถ้า ผู้รักษาประตู ออกทะเล ออกลูกเหว๋อ เมื่อไหร่ นั้นละคือหายนะ
2.แผนการเล่น เป็นเรื่องที่สอง ที่ผมจะยกมาพูดถึง แผนของคล๊อป คือการเพรสซิ่งสูง แน่นอนการเล่นแบบเพรสซิ่ง ต้องใช้แรงอย่างมาก เพราะผู้เล่นต้องวิ่งตลอด ถ้าใครไม่ฟิตจริง มีหวังเดี้ยงกันไปตามกัน การไล่เพรสซิ่งสูง ทำให้คู่แข่งกดดันก็จริง แต่ก็เปิดพื้นที่ด้านหลังไว้มาก ถ้าเจอกับทีมที่มาตั้งรับต่ำแล้วโต้กลับเร็ว ลิเวอร์พูล จะเจอปัญหาทุกครั้ง ทุกทีมที่ชนะ ลิเวอร์พูลได้ จะเล่นแบบนี้ทั้งนั้น สังเกตุดูได้เลย พวกเขา จะทิ้ง กองหน้าที่มีความเร็ว ไว้หนึ่งตัว พอได้บอลจาก ลิเวอร์พูล ก็จะจ่ายไปที่ว่างให้กองหน้าวิ่งไปรับบอล แล้วเอาไปยิงประตู สูตรนี้ใช้ได้ผลมากกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งคล็อป เอง ก็ยังแก้ไม่ได้ในจุดนี้
3.สภาพจิตใจ ผมเชื่อว่า สภาพจิตใจ มีส่วนสำคัญอย่างมากในเกมฟุตบอล มันเป็นปัจจัยที่สามารถตัดสินได้ว่า จะให้ทีม ชนะหรือไม่ชนะ เรื่องสภาพทีม และ ตัวผู้เล่น อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่หลายท่านเคยสงสัยมั้ย ว่าทำไม่ บางทีทีมเล็กๆ และอ่อนชั้นกว่า จึงสามารถ พลิกสถานณ์เอาชนะที่ที่ใหญ่กว่าได้ ทำไม เชลซี ,แมน ยู จึงสามารถ เอาชนะทีมเล็กๆ ได้เป็นประจำ ทั้งที่บางทีทีมก็ไม่พร้อม ผมจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ นะครับ นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก แล้วมีรุ่นพี่ที่เป็นนักเลง ในโรงเรียน มาหาเรื่อง นั้นแหละครับ เราที่เป็นเด็กใหม่ตัวเล็ก กลัวซิหาย...(แต่สมัยนี้ยังไงไม่รู้นะ555) ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ากลัวเขาว่าหาเรื่องเขา ก็เหมือนกันครับ ทีมอย่าง แมน ยู ,เชลซี ก็เหมือนนักเลงใหญ่ในโรงเรียนน้ันแหละ แค่ได้ยินชื่อ ก็กลัวขี้หดตดหายแล้ว เพราะทีมเหล่านี้ เขาได้สร้างบารมี เอาไว้เยอะ ทำให้ทีมที่ต่อกลอนด้วย แค่เห็นก็ใจฝ่อแล้ว พอใจฝ่อ ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว แผนการที่ ผจก.วางมาต่อให้ดีแค่ไหน ถ้าผู้เล่นเอาไปใช้ไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ ลิเวอร์พูล ยังมีบารมีไม่มากพอ ถึงจะเคยสร้างเกียรติประวัติไว้มากมาย แต่นั้นมันในอดีตแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ลิเวอร์พูลต้องยอมรับว่ายังเป็นทีมที่อยู่ในระดับกลางๆ ยังไม่ใช้ทีมชั้นนำ ถ้าดูจากสภาพทีม ตัวผู้เล่น งบประมาณ ยังห่างชั้นกันคู่แข่งอย่างมาก ทีมเล็กๆ ที่ต้องเล่นกับ ลิเวอร์พูล จึงไม่กลัว และ กล้าที่จะเล่นในเกมของตัวเอง
4.การเสริมทีม สไตล์ การทำทีม ของ เจอร์เก็น คล็อป นั้นเน้นไปที่การสร้างทีมในระยะยาว ตัวเขาเองนั้นชื่นชอบที่จะปั้นเด็กมาใช้งาน มากกว่าการซื้อ ซุปตาร์ เข้ามา เราจึงไม่ค่อยเห็นเหล่าซุปตาร์มาอวดโฉมใน แอนฟิวส์ เท่าไหร่ ทั้งที่ ตัวเขาเองมีชื่อเสียงพอที่จะดึงดูดนักเตะเหล่านั้นได้ไม่ยาก อาจเป็นเพราะตัวเขา เองที่มั่นใจในตัวนักเตะที่มีอยู่ จึงไม่ซื้อใครเขามาเพิ่ม ทำให้เมื่อมีนักเตะบาดเจ็บเยอะๆ จึงขาดนักเตะที่จะสามารถทดแทนกันได้
5.การฝึกซ้อม อันหนักหน่วง การฝึกซ้อม ของ ผจก.ทีมชาวเยอรมัน เป็นที่รู้กันว่า มีคามเข้มข้น เพราะด้วยสไตล์การทำทีม ที่แน่นเพรสซิ่ง นักเตะจำเป็นต้องมีความฟิตอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นักเตะที่มียังไม่สามารถพร้อมรับมือ กับสไตล์แบบนี้ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ กับนักเตะหลายคนอยุ่บ่อยครั้ง ท่าน เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน เคยวิจารณ์สไตล์ ของ คล็อป ว่านักเตะจะสามารถวิ่งไล่บอลได้ไปจนถึงท้ายฤดูกาลรึเปล่า คล็อป อาจจะเคยทำสำเร็จ ที่ เยอรมัน แต่ เยอรมัน ไม่เหมือนกับอังกฤษ เพราะ ที่เยอรมัน มีการพักเบรกหนีหนาว แต่ สำหรับ อังกฤษ นั้นไม่มีการพัก มีแต่โปรแกรมการเตะ ที่ชุกเหมือน กับ ฝน การบริหารทรัพย์กรนักเตะของทีมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
6.ผู้จัดการทีม ถ้าเอ่ย ถึง ชื่อ ของ เจอร์เก็น คล็อป (JK) คงไม่มีใครไม่รู้จัก และสงสัยในความสามารถของเขา เพราะ การฉุด ทีม ดอร์ทมุน ขึ้นจากปากเหว ให้มาอยู่บนจุดสูงสุด ของฟุตบอลเยอรมัน ได้นั้นไม่ใช้เรื่องง่ายเลย เขาต้องผ่าน ทีม พญามัจจุราช อย่าง บาร์เยิร์น ค่อยขว้างกันความสำเร็จอยู่ แต่นั้นคือความสำเร็จในอดีต ซึ่งไม่สามารถ การันตี ความสำเร็จในปัจจุบันได้ อย่างที่ทราบกันไปในหัวข้อที่ผ่านมาว่า สไตล์การทำทีมของ คล็อป นั้น เน้นในเรื่องของการสร้างทีมในระยะยาว การปั้นเหล่าดาวรุ่ง ให้เป็นกำลังหลักของทีมต่อไป เขาเป็น ผจก.ทีม ที่มีส่วนร่วมกับทีม ในทุกบทบาท อารมณ์ และ ความรู้สึก เต็มเปี่ยมด้วยพลัง แต่ก็ใช้ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย ข้อเสีย ของ คล็อป ในความคิดผม คือ เขาเป็นคนที่มี EGO มากพอสมควร จนบ้างครั้งอาจลืมนึกถึงภาพรวมของทีม ดูได้จาก กรณี ของ มามาดู ซาโก้ ที่ถูกเขาจับดองเค็ม เนื่องจาก พฤติกรรม ที่ขี้เล่นเกินกว่าเหตุ ของเจ้าหมอนี่ และการที่เขายึดหลักไม่ยอมเสริมนักเตะในช่วงตลาดเปิดเดือนมกราคม การดึงดัน ใช้ มิลเนอร์ และ ลูคัส มาเล่นในตำแหน่งกองหลัง ซึ่งดูยังไงแล้วก็ไม่ Work เพราะมันฝืนธรรมชาติของนักเตะ มิลเนอร์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบในตำแหน่งแบ็คซ้ายเลย ตำแหน่งที่เขาอย่างจะเล่นที่สุดคือ ตำแหน่งในแดนกลาง แต่หากเป็นความต้องการของ ผจก.ทีม เขาก็สามารถที่จะเล่นได้ในทุกตำแหน่งเพื่อทีม การฝืนใช้นักเตะผิดตำแหน่ง มันเป็นการลดศักยภาพของนักเตะ ทางอ้อม เพราะเขาไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ ถูกจำกัดด้วยแผนการเล่น การเล่นจึงไม่เป็นธรรมชาติ แรกๆ มิลเนอร์ ก็ดูเหมือนจะทำได้ดีในตำแหน่งใหม่ แต่พอเล่นไปได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มจะแสดงความผิดพลาดให้เห็น การเติมเกมสูง แล้วลงไม่ทัน เป็นปัญหาสำหรับมิลเนอร์ หาก คล็อป ต้องการที่จะเห็นทีมที่เขาปลุกปั้นพัฒนามากขึ้นกว่านี้ บางที่เขาอาจคงต้องยอมลด EGO ของเขาลงบ้าง แล้วเริ่มแก้ไข ให้ถูกจุด เสียที "อย่าปล่อยให้ความหวัง ของเหล่า The Kops เป็นเพียงแค่ความฝัน ลมๆ แล้ง" เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมา เป็นความคิดเห็นของผม นะครับ ส่วนใครที่จะเห็นต่างไปกว่านี้ก็ไม่ว่ากัน........หากลิเวอร์พูล ต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ต้องมีการเปลียนแปลงอะไรบางอย่าง ผมมองว่า คุณภาพของนักเตะ เป็นเรืองสำคับอันดับแรก ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลหน้า เพราะศักยภาพ นักเตะที่มีอยู่ไม่สามารถ แข่งขันกับเหล่าบรรดา ทีม เสือ สิงห์ กระทิง แรด ใน พรีเมียร์ลีก ได้เลย เทียบ ปอนด์ต่อปอนด์ แพ้ตั้งแต่ในมุง ในปัจจุบัน นี้แทบไม่มีนักเตะ คนใด ที่เข้าใกล้ คำว่า World class เลย ตั้งแต่ หลุยส์ ซัวเรส เก็บกระเป๋าย้ายออกไป ยังไงก็ฝากแฟนๆ หงส์ ติดตามกันต่อไป อย่าพึ่งท้อแล้วทิ้งกันไปไหนนะครับ
#You will Never walk alone
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)